*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ripples Asia มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
Atlas Fallen นั้นเป็นเกมที่ผมต้องยอมรับว่า ตอนเห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าค่อนข้างธรรมดา และยังให้ความรู้สึกคล้ายกับหลาย ๆ เกมที่เคยผ่านตาผ่านมือมาก่อนหน้านี้ ถึงกระนั้นหลังจากที่ได้เล่นตั้งแต่ต้นจนจบ (บวกถ้วยแพลตินัม) ผมก็คิดว่าตัวเกมก็มีดีอยู่เหมือนกัน ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นผมจะมาเล่าให้ฟังกันต่อไปครับ
เนื้อเรื่อง
สำหรับใน Atlas Fallen นี้ ดำเนินเรื่องราวอยู่ในโลกที่ชื่อว่า Atlas ตามชื่อเกม โลกแห่งนี้มีเทพชื่อธีลอส (Thelos) ที่คอยปกครองอยู่ และมนุษย์บางส่วนก็มีสถานะเป็นทาสและโดนเรียกว่าเป็นผู้ไร้นาม (Unnamed) ที่มีหน้าที่ในการขุดหาแร่พลังงานซึ่งเรียกว่า Essence ให้กับราชินีพันปีผู้เป็นตัวแทนแห่งเทพธีลอส ทว่านอกจากความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันของเหล่าผู้ไร้นามแล้ว โลกนี้ยังประสบภัยคุกคามจากเหล่าเรธ (Wraith) ที่เป็นอสุรกายที่มีร่างประกอบขึ้นจากดินทรายคอยโจมตี โดยที่เกมนี้จะเริ่มต้นเมื่อตัวเอกที่เป็นหนึ่งในผู้ไร้นามได้ไปพบเข้ากับปลอกแขนลึกลับอันทรงพลัง พร้อมกับได้พูดคุยกับตัวตนลึกลับชื่อไนอัล (Nyaal) ที่สิงอยู่ในปลอกแขนดังกล่าว การเดินทางเพื่อปลดแอกดินแดนจากธีลอสก็ได้เริ่มต้นขึ้น
หากจะว่าในแง่ของเนื้อหาโดยรวมแล้ว ผมคิดว่าเกมนี้ดำเนินเรื่องราวตามสูตรสำเร็จที่พบเห็นได้ทั่วไปครับ นั่นคือตัวเอกเริ่มต้นจากการเป็นโนบอดี้ ก่อนจะค่อย ๆ ได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่สร้างชื่อเสียงให้ตนเองแล้วก้าวขึ้นมาเป็นวีรชนในท้ายที่สุด แน่นอนว่าระหว่างทางก็พบทั้งมิตรและศัตรู มีจุดหักมุมบ้างนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ถือว่าบันเทิงดีใช้ได้อยู่
ถ้าจะมีสิ่งที่ทำให้การดำเนินเนื้อหาของเกมนี้ค่อนข้างจืดไปสักหน่อยก็ไม่พ้นวิธีการเล่าเรื่องนี่ล่ะครับ ด้วยความที่ตัวเกมใช้ทุนสร้างไม่สูงมาก พวกคัตซีนหลัก ๆ (แม้แต่ตอนจบ) ก็เลือกที่จะใช้เป็นภาพวาดที่ขึ้นควบคู่ไปกับเสียงพากย์แทน ซึ่งวิธีนี้มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ เพียงแต่ถ้าคุณเพิ่งผ่านเกมที่โปรดักชันอลังการมาหยก ๆ แล้วมาจับ Atlas Fallen เลยมันอาจทำให้สะดุดไปเหมือนกัน อีกประการก็คือสีหน้าท่าทางตัวละครเวลาคุยกันในฉากทั่วไปนั้นจะยืนกันแข็ง ๆ ขยับมือไม้กันนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่มีฉากประเภทเดินไปเดินมาหรือออกท่าทางที่มันดูเป็นธรรมชาติครับ การแสดงออกด้านสีหน้าก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก ถึงกระนั้นตลอดเวลาที่ได้เล่นตั้งแต่ต้นจนจบก็ถือเป็นอะไรที่สนุกดีอยู่ครับ
เกมเพลย์
เกมนี้คุณจะสามารถปั้นหน้าตาและเลือกเพศให้ตัวละครของคุณเองได้ เพียงแต่ว่าอย่าคาดหวังความละเอียดชนิดที่สามารถเลือกปรับหน้าผาก เหลาโหนกแก้ม หรือเกลาคางให้ออกมาหล่อสวยได้ถูกใจ (หรือไม่ก็อัปลักษณ์…) ได้แบบที่ต้องการนะ เพราะตัวเลือกที่มีของเกมนี้จะมาในลักษณะที่มีเตรียมเอาไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว คนเล่นก็มาผสมจากตัวเลือกที่มีจนกว่าจะถูกใจนั่นล่ะ ถ้าใครที่มักเสียเวลาครึ่งวันในการเหลาหน้าตัวละครอาจจะผิดหวังไปหน่อย แต่เกมนี้ก็ประสบปัญหาเดียวกับเกมอื่น ๆ นั่นล่ะครับ คือระหว่างเล่นก็ไม่มีเวลามาส่องหน้าตัวละครเรานักหรอก
รูปแบบการเล่นของเกมคือแอ็กชันอาร์พีจีที่คุณจะสามารถตระเวนไปมาในแมปได้แบบโอเพนเวิลด์ ซึ่งเกมนี้จะแบ่งแมปออกเป็น 4 แมปด้วยกัน แต่ละแมปก็มีขนาดกลาง ๆ ไม่เล็กไปและไม่กว้างไป โดยที่นอกเหนือจากการต่อสู้กับเหล่าเรธที่เป็นศัตรูหลักของเกมแล้ว ในหลายครั้งเราจะพบกับหีบสมบัติเอย หรือไม่ก็กิจกรรมต่าง ๆ ที่พบเห็นได้ในเกมโอเพนเวิลด์ เช่นการขึ้นที่สูงหาจุดสำรวจเพื่อเปิดตำแหน่งสถานที่น่าสนใจ บ้างก็เป็นการไปสู้กับศัตรูเพื่อทำลาย Watchtower ที่จะทำให้พื้นที่ในส่วนนั้น ๆ มีทัศนวิสัยที่ดีขึ้น หรือเป็นการไปคุยกับ NPC เพื่อรับเควสต์ ฯลฯ
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในแง่ของการสำรวจและการเดินทางในเกมนี้ก็คือ เกมออกแบบมาให้เราไปไหนมาไหนได้ค่อนข้างอิสระมากครับ พวกแง่งหินเอย ซากปรักหักพังเอย เราโดดไปเหยียบไปเกาะได้หมด เวลาส่องสภาพแวดล้อมเพื่อหาทางไปมันก็เลยชวนให้ลองอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน บางทีโดดไปมุมที่ดูไม่น่าจะไปได้ก็ดันไปได้ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทีมงานตั้งใจรึเปล่าอะนะ) แต่ในแง่ความคล่องตัวของเรานี่ถือว่าสูงเลย เพราะมีทั้งกระโดดสองชั้น มีทั้งแดชกลางอากาศที่เล่นไปถึงช่วงท้ายก็แดชได้สามทีติดต่อกัน แน่นอนว่าพวกปริศนาบางอย่างหลัง ๆ นี่ก็บังคับให้ต้องใช้ความสามารถพวกนี้เต็มที่เลยล่ะครับ ไม่งั้นเคลียร์ไม่สำเร็จชัวร์ ๆ
เอาล่ะ พอเป็นเกมแอ็กชันอาร์พีจี สิ่งที่ต้องมีก็คือระบบในการปรับแต่งตัวละครนี่ล่ะครับ ค่าสถานะของตัวเราในเกมนี้จะขึ้นอยู่กับชุดเกราะที่มีล้วน ๆ เลย ยิ่งเป็นเกราะท้ายเกมค่าพลังก็ยิ่งสูง ซึ่งการอัปเกรดเกราะก็จะทำให้มีพวกความสามารถแพสซีฟต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมา ดังนั้นก็อยู่ที่คนเล่นว่าจะเน้นค่าพลังในจุดไหน ถามว่าจะเก็บค่า Essence ไว้แล้วรอไปอัปเกราะอื่นเลยได้ไหม? มันก็ได้ครับ แต่ว่าในเกมนี้มันจะมีค่า Perk ด้วยซึ่งเป็นความสามารถแพสซีฟแบบถาวร และแต้มที่จะมาอัปค่า Perk ก็ได้จากการอัปเกรดเกราะในแต่ละขั้นนี่ล่ะ หากจะเก็บ Perk ให้ครบก็ต้องอัปเกราะจนเต็มหมดอยู่ดี
ในเกมนี้เราจะมีอาวุธทั้งหมด 3 ประเภทคือขวาน+ค้อน แส้ติดมีด และกำปั้น ซึ่งเราจะติดตั้งในการต่อสู้ได้แค่สองชนิด และวิธีโจมตีก็ง่าย ๆ เลยคืออาวุธหลักจะใช้ปุ่มสี่เหลี่ยม ส่วนอาวุธรองจะใช้ปุ่มสามเหลี่ยม ซึ่งคุณสามารถดูวิธีกดท่าได้ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เกมนี้ไม่มีการอัปเกรดอาวุธหรือซื้อท่าใหม่ในอะไรแบบนั้นนะ เพราะเกมนี้เลือกที่จะใช้ระบบที่เรียกว่า Momentum ครับ
ระบบ Momentum ของเกมนี้ คือเกจสีฟ้าที่อยู่ใต้พลังชีวิต ยิ่งคุณโจมตีศัตรูเยอะ เกจนี้ก็จะยิ่งเพิ่ม และเมื่อเพิ่มระดับไปเรื่อย ๆ อาวุธของเราก็จะเปลี่ยนรูปร่างไปและทำให้โจมตีได้รุนแรงขึ้น รวมถึงสัมพันธ์กับบรรดาสกิลต่าง ๆ ที่เราติดตั้งเอาไว้จาก Essence Stones ด้วย นั่นแปลว่าเริ่มต่อสู้แต่ละครั้ง คุณจะไม่สามารถสแปมสกิลที่มีรัว ๆ แล้วหลบฉากรอคูลดาวน์ได้ ยังไง ๆ คุณก็ต้องเข้าไปบู๊ประชิดเพื่อสร้างเกจอยู่ดี ดังนั้น ถ้าคุณสู้ได้ดีก็จะยิ่งได้เปรียบยิ่งขึ้นไป แต่ถ้าโดนหวดบ่อยครั้ง Momentum คุณก็จะหล่นวูบจนออกท่าออกทางไม่ได้อย่างที่ต้องการ
ผมคิดว่าเกมนี้มีไดนามิกในระหว่างสู้ที่สนุกไม่เลว ด้วยความที่เราจะมีวิธีรับมือการโจมตีที่คล่องตัวอยู่ ทั้งการกด L1 เพื่อทำการป้องกัน ที่ก็สแปมไม่ได้แต่ต้องกดให้ถูกจังหวะที่ศัตรูโจมตีมา หากคุณป้องกันได้สำเร็จศัตรูก็จะชะงักให้คุณตีฟรี หรือจะแดชหลบด้วย R1 ที่หากคุณตีศัตรูได้ในระหว่างที่ลอยกลางอากาศ คุณจะสามารถแดชต่อได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังมีศัตรูให้ตี ทุกอย่างมันเลยรวดเร็วฉับไวและไหลลื่นใช้ได้ พอเกจ Momentum คุณสูงระดับหนึ่งก็จะปิดฉากด้วยท่าใหญ่ Shattering แบบเท่ ๆ แล้วใช้ Momentum ให้เกลี้ยงไปเลยก็ได้…ถ้าคุณแน่ใจว่าจะไม่มีศัตรูเวฟอื่นมาเสริมล่ะนะ
หากจะมีสิ่งที่น่าบ่นอยู่บ้างเกี่ยวกับระบบต่อสู้ก็คือศัตรูมันไม่มาตัวเดียวครับ ดังนั้นเล่นแรก ๆ คุณอาจจะโดนตีจากนอกจอบ่อยแน่นอน ยังไม่นับว่าพวกมุมกล้องและการล็อกเป้า+เลื่อนเป้าที่ยังไม่ค่อยได้ดังใจ หลายครั้งที่อยากเปลี่ยนไปโฟกัสศัตรูตัวอื่น แต่เกมก็ไม่เปลี่ยนให้มันเลยเสียจังหวะบ่อย ๆ เหมือนกัน ยิ่งพอจังหวะที่ศัตรูเยอะ ๆ เอฟเฟกต์แยะ ๆ นี่มันอีรุงตุงนังมาก
กราฟิก
คุณภาพกราฟิกของเกมนี้ก็อยู่ในระดับที่โอเคครับ พวกดีไซน์ฉากและอาคารบ้านเรือนก็ถือว่ารับได้ไม่น่าเกลียด เพียงแต่อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าอนิเมชันการเคลื่อนไหวยังจะแข็ง ๆ ยิ่งพวก NPC นี่จะขยับกันน้อยมาก ไม่ค่อยมีเดินไปมาเปลี่ยนตำแหน่งกันเท่าไร
ถึงอย่างนั้น แม้ว่าโมเดลตัวละครและอาคารบ้านเรือนจะไม่ได้ละเอียดมาก แต่พอจังหวะเข้าเมืองใหญ่นี่เฟรมเรตจะตกแบบชัดเจนมากครับ แต่พอเป็นฉากสู้ก็จะลื่นไหลดีเลยพอปล่อยผ่านได้อยู่
เสียงและเพลงประกอบ
ผมว่างานเพลงของเกมนี้อยู่ในระดับโอเคครับ ดนตรีของเกมก็สไตล์เกมแฟนตาซีที่เน้นปลุกเร้าอารมณ์ให้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการ เพียงแต่สำหรับผมแล้วมันดันไม่ค่อยมีเพลงไหนติดหูเท่าไรนัก ยิ่งถ้าคุณเพิ่งเล่นเกมไหนเมื่อเร็ว ๆ นี้ไปแล้วเจองานเพลงระดับมหาเทพไปแล้วล่ะก็ เพลงของ Atlas Fallen จะฟังดูจืดไปเลย ซึ่งก็รวมถึงงานพากย์ด้วยล่ะนะ (แต่ก็ไม่ได้แปลว่างานพากย์ในเกมนี้จะแย่นะ)
สรุป
Atlas Fallen เป็นเกมแอ็กชันอาร์พีจีที่มีระบบสู้สนุกไม่เบา แม้ว่าองค์ประกอบอื่น ๆ อาจจะธรรมดาไปหน่อย แต่ก็มีอะไรให้ทำและให้เล่นได้เพลิน ๆ ครับ