*ขอขอบคุณ Bethesda Game Studios สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน Xbox Series X
Starfield คือผลงานเกมสไตล์แอ็กชันอาร์พีจีเกมล่าสุดจาก Bethesda Game Studios ที่โด่งดังและมีแฟรนไชส์ที่เกมเมอร์หลงรักมากมายไม่ว่าจะเป็น The Elder Scrolls หรือ Fallout เป็นต้น และในคราวนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งด้วยเกม IP ใหม่ที่จะให้เกมเมอร์ได้ผจญภัยท่องไปในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ และในวันนี้ที่ผมเล่นจบไปหนึ่งรอบก็จะมาบอกเล่าความรู้สึกให้ได้ฟังกันครับ
เนื้อเรื่อง
สำหรับใน Starfield นี้ยังคงมีเอกลักษณ์แบบเดียวกันกับเกมอื่น ๆ ของ Bethesda ที่ให้คุณสามารถเลือกปรับแต่งหน้าตาและเพศตัวละครได้อย่างที่ต้องการ จะสูงต่ำดำขาว จะอ้วนจะผอมจะล่ำ จะหน้าตาสวยหล่อแค่ไหนหรือตลกยังไงก็แล้วแต่คุณเลย ถ้าจะมีสิ่งที่ต่างไปจากเกมแฟนตาซีอย่าง The Elder Scrolls หน่อยก็คือเราเลือกเผ่าพันธุ์ไม่ได้เพราะยังไง ๆ ก็ต้องเป็นมนุษย์โลกครับ แต่สิ่งที่เลือกได้คือ trait ที่เป็นตัวกำหนดพื้นเพความเป็นมาซึ่งจะส่งผลต่อการเล่นของเราแตกต่างกันไปเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นเอง
เกมนี้ดำเนินเรื่องราวในอนาคตอันห่างไกลที่โลกเรากลายเป็นดาวมรณะและไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไป จึงทำให้มนุษย์ตระเวนขึ้นยานแล้วไปตั้งรกรากกันตามระบบดาวอื่น ๆ ซึ่งผู้เล่นจะได้รับบทเป็นคนงานขุดเจาะแร่ในเหมืองแห่งบริษัทขุดเจาะอาร์กอส (Argos Extractors) ที่ได้รับมอบหมายงานขุดแร่บนดาวเวคเตรา (Vectera) ในระบบดาวนาริออน (Narion) แต่ทว่าภายในเหมืองบนดาวนั้น ผู้เล่นกลับได้พบเจอกับวัตถุลึกลับชิ้นหนึ่งที่ไม่อาจระบุที่มาได้ และเมื่อสัมผัสแล้วก็ได้พบเห็นนิมิตแห่งห้วงอวกาศที่ยากจะอธิบาย ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้เล่นต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักสำรวจคอนสเตลเลชัน (Constellation) ที่หวังจะไขความลับของวัตถุลึกลับที่ว่านี้ ชีวิตของผู้เล่นจึงมีอันต้องพลิกผันไปตลอดกาล
สำหรับผมแล้วเนื้อหาหลักของเกมนี้มันดำเนินเรื่องราวในลักษณะของนิยายวิทยาศาสตร์แบบแท้ ๆ เลยครับ (รวมถึงภาพยนตร์เอย ซีรีส์โทรทัศน์เอย อะไรต่อมิอะไรที่นำเสนอเนื้อหาแบบไซไฟ) นั่นคือกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อไขปริศนาของสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครรับรู้ เป็นมนุษย์กลุ่มเล็ก ๆ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ที่ออกแสวงหาความรู้กันไม่สิ้นสุด ซึ่งเกมนี้ก็ทำออกมาได้ดี น่าค้นหา น่าติดตามรวมถึงบทสรุปของเรื่องราวที่ออกแบบมาได้ฉลาด และสอดคล้องกับฟีเจอร์หนึ่งของเกมหลังเล่นจบอย่าง New Game+ ด้วย (ซึ่งเกมนี้ทำออกมาให้สอดคล้องไปกับเนื้อหาได้แบบเนียน ๆ) ไม่เพียงเท่านั้น บทสนทนาในช่วงท้ายกับบทสรุปส่งท้ายเกม มันก็ชวนให้ผมมานั่งครุ่นคิดอะไร ๆ ได้ดีไม่เลวเหมือนกันครับ
แต่ไม่เพียงแค่เนื้อหาหลักเท่านั้น บรรดาไซด์เควสต์มากมายก็ทำออกมาได้สนุกชวนติดตามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไซด์เควสต์ของแต่ละ Faction ในเกมที่ถือเป็นเรื่องราวย่อยของตัวเองแบบค่อนข้างเป็นเอกเทศจากกัน ซึ่งธีมนำเสนอนั้นก็ชัดเจนในตัวเองว่าต้องการบอกเล่าเรื่องราวไซไฟแบบใด ไม่ว่าจะเป็นการหยุดยั้งวิกฤติร้ายแรงจากสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ดุร้ายซึ่งอาจทำให้มนุษย์ต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ หรือจะเป็นการเปิดศึกระหว่างกองยานแห่ง United Colonies กับกลุ่มโจรสลัดที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่าง Crimson Fleet โดยที่เรารับบทบาทแฝงตัวไปปฏิบัติภารกิจ หรือจะเข้าไปเป็นพนักงานของบริษัทมหาอำนาจที่คุณต้องรับบทเป็นจารชนล้วงความลับและบ่อนทำลายบริษัทคู่แข่ง
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ผมคิดว่าเกมนี้นำเสนอเนื้อหาในสไตล์ไซไฟแฟนตาซีได้ครบรสมาก แม้แต่ไซด์เควสต์รายทางอื่น ๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีความสนใจเกี่ยวกับอวกาศเป็นทุนเดิม คุณอาจตระเวนไปทั่วอวกาศแล้วได้พบกับยานร้างที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่กลับพบว่ายานถูกควบคุมโดย AI ซึ่งพัฒนาตนเองขึ้นมาจากอดีตกาล หรืออาจจะได้ไปเจอกับดาวที่มีบุคคลในประวัติศาสตร์ในอดีต ซึ่งล้วนแล้วแต่สนุกและน่าติดตามจนทำให้อยากลองบินออกไปสำรวจทุกจุดเพื่อดูว่าจะเจอกับอะไรแปลกใหม่อีกบ้างครับ
เกมเพลย์
เกมเพลย์ของ Starfield นี้ หากว่าใครเคยเล่นผลงานก่อนหน้านี้ของ Bethesda Game Studios มาก่อนก็จะทำความคุ้นเคยได้ไม่ยาก เพราะมีการหยิบยกโครงสร้างบางอย่างมาใช้คล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นระบบตอบคำถามในเควสต์ ที่อาจจะทำให้การสนทนาจบลงแบบสันติหรือไม่ก็จบที่การฝากกระสุนไว้ในหน้าผากของอีกฝ่าย การกระทำและการตัดสินใจของเราจะเกิดผลลัพธ์แตกต่างกันรวมถึงรางวัลที่จะได้ และเชื่อว่าระบบเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
ระบบต่อสู้ของเกมนี้ ถ้าจะให้เทียบกันกับสองแฟรนไชส์ดังอย่าง The Elder Scrolls และ Fallout นั้น ผมคิดว่า Starfield จะอยู่ประมาณกึ่งกลางครับ นั่นคือตัวเกมเป็นแอ็กชันชูตเตอร์ที่จะปรับมุมมองเป็น FPS หรือ TPS ก็แล้วแต่ตามใจคนเล่น เพียงแต่จะไม่มีระบบ VATS เอาไว้หยุดเกมเพื่อเลือกยิงแต่ละส่วนของศัตรูเหมือน Fallout แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีระบบเกมบางอย่างที่คล้าย ๆ กับระบบ Shout ของ Skyrim มาแทนที่ครับ
ในแง่ของการต่อสู้นั้น ผมค่อนข้างชอบการสู้ในรูปแบบไร้แรงโน้มถ่วงของเกมนี้อยู่เหมือนกัน แต่แอบเสียดายว่าไม่ค่อยมีจังหวะให้สู้ในลักษณะนี้เท่าไรนัก (หรือผมเองอาจจะยังหาไม่เจอก็เป็นได้)
อย่างไรก็ดี เอกลักษณ์หนึ่งที่โดดเด่นกว่าอีกสองแฟรนไชส์ดังของสตูดิโออย่างชัดเจนก็คือระบบการต่อสู้ด้วยยานอวกาศนี่ล่ะครับ เกมนี้ทำระบบการบินต่อสู้ออกมาได้สนุกเลยทีเดียว และแม้องค์ประกอบต่าง ๆ จะดูเยอะแยะและซับซ้อน แต่พอได้ลองเล่นสักพักนึงก็จะชินและรู้ว่าควรทำอะไรได้อย่างไม่ยากเย็นครับ ยังไม่นับว่าแต่ละครั้งที่คุณวาร์ปไประบบดาวใดก็ตาม คุณอาจเจออีเวนต์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงเสมอ บางทีคุณอาจเจอยานอวกาศจากบริษัทประกันที่ตื๊อขายประกันกับคุณด้วยก็ยังมี
การสำรวจดวงดาวแต่ละดวงของเกมนี้ มีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจไม่เบาครับ นอกจากบรรดาสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณเฉพาะของแต่ละดาวแล้ว สภาพอากาศของแต่ละที่ก็มีผลต่อการเล่นอยู่ระดับหนึ่งเหมือนกัน เพราะบางดาวคุณอาจเจออากาศหนาวจัดติดลบระดับร้อยองศา หรือบางดาวก็เจอรังสีจากแสงอาทิตย์ที่แผดเผา และความทนทานของชุดที่คุณใส่ก็จะช่วยให้คุณฝ่าฟันสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายนั้นได้ และหากการป้องกันของชุดหมดลง สิ่งที่ตามมาก็จะเป็นสถานะผิดปกติต่าง ๆ ในสไตล์เกมอาร์พีจีครับ เพียงแค่ว่าพอเป็นเกมนี้ก็ปรับคำอธิบายมาในแบบที่สมกับธีมของเกม เช่นหนาวจัดจนติดสถานะไฮโปเธอร์เมีย (ร่างกายอุณหภูมิต่ำเกิน) หรือปอดเสียหายจากการดมสารพิษ เป็นต้น
สิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงสำหรับเกมนี้ก็คือระบบการปรับแต่งสิ่งต่าง ๆ นั้นค่อนข้างอิสระมาก คุณสามารถเลือกเอาแต้มสกิลไปอัปอะไรก็ได้ตามต้องการ คุณอยากให้ตัวละครที่เล่นเก่งการใช้ปืนไรเฟิลก็ไปอัปเลย หรืออยากให้เป็นนักบินมือฉมังก็อัปได้ ไม่มีข้อห้ามอะไรมาขัดขวางคุณ เพราะเกมเองก็เปิดทางเลือกให้คุณพอสมควรในการรับมือกับแต่ละเควสต์ จะสันติวิธี จะลอบเร้น จะตูมตามก็แล้วแต่คุณตัดสินใจ คุณชอบสไตล์ไหนก็ไปอัปสกิลสายนั้น ๆ
หากคุณต้องการแร่สำคัญมาใช้พัฒนาของแต่งปืนใหม่ ๆ คุณแวะไปดาวที่มีแร่นั้น ๆ แล้วก็ทำการตั้งค่ายของตนเองเพื่อขุดเจาะแร่มาใช้ หรือเมื่อได้บ้าน ได้ห้องพักแล้วก็สร้างของตกแต่งรวมถึงจัดวางได้ตามสไตล์ที่คุณต้องการ ได้ปืนกระบอกใหม่มาแต่อยากเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น? งั้นคุณก็เอาวัตถุดิบมาเสริมให้อาวุธโปรดของคุณ หรือถ้าคุณรู้สึกว่ายานที่คุณขับมันเริ่มจะสู้ใครไม่ไหว งั้นก็ซื้อยานใหม่หรือไม่ก็ออกแบบยานซะเองเลยก็ยังได้ ทุกสิ่งที่กล่าวมาเปิดโอกาสให้คนเล่นใช้จินตนาการได้อย่างเต็มที่ แต่ถามว่าถ้าคุณเป็นสายชอบลุยโดยไม่ค่อยอยากเสียเวลาทำอะไรยุ่งยากแบบนี้จะได้ไหม? ได้ครับ เพราะผมเชื่อว่าหลายคนก็อาจจะเล่นตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้สร้างค่าย ไม่ได้แต่งห้องเลยด้วยซ้ำ
ชมมาก็มากแล้ว ถามว่าเกมมีข้อติบ้างไหมล่ะ? มีครับ มีอยู่พอควรเหมือนกัน อย่างแรกเลยก็คือระบบการเดินทางไปมาระหว่างดาว (ระบบฟาสต์ทราเวลนั่นแหละ) ที่ผมรู้สึกว่ามันต้องกดเลือกเข้าหน้าจอหลายครั้งเกินไปหน่อย กว่าจะได้วาร์ปทีรู้สึกเหมือนแอบมากพิธีไปนิดนึง อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือเกมไม่มี waypoint ที่อำนวยความสะดวกคนเล่นเวลาเข้าเมืองครับ ด้วยความที่แผนที่เกมนี้ไม่มีบอกที่ตั้งของพวกร้านค้าต่าง ๆ เลย การวิ่งหาร้านขายของหรือการหาคลินิกจึงเป็นสิ่งที่เพิ่มความลำบากและยุ่งยากโดยไม่จำเป็น เพราะต้องอาศัยความจำล้วน ๆ
อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องพูดถึงก็คือบรรดาดวงดาวต่าง ๆ ที่มีให้สำรวจนั้น ถ้าไม่นับดาวที่มีมนุษย์ไปตั้งชุมชนและไปตั้งรกรากล่ะก็ ส่วนมากจะมีลักษณะคล้าย ๆ กันไปหมดครับ สภาพแวดล้อมมักจะค่อนข้างโล่ง ๆ และรกร้าง มีสิ่งมีชีวิตประจำดาวและพืชพรรณประปราย ซึ่งผมก็มั่นใจด้วยว่าหลายอาคารที่พบเจอบนดาวคนละดวงมีการแอบใช้ผังอาคารซ้ำกันอยู่นะ ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าเกมควรจะใส่มาแต่ดันไม่ใส่มาก็คงเป็นพาหนะภาคพื้นดินนี่ล่ะครับ แอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่มีใส่ลงมา เลยกลายเป็นว่าเวลาลงไปสำรวจที่ไหนก็ต้องวิ่งหรือกระโดดเอาอย่างเดียวเลย
ส่วนของบั๊กและการเก็บงานไม่เนี้ยบก็มีบ้างประปรายตามสไตล์เกมของ Bethesda ที่หลายคนน่าจะพอทราบกันดีนั่นล่ะครับ บางทีคุยกับ NPC คนนึงอยู่ ตัวประกอบฉากคนอื่นก็เดินมาตัดแทรกกลางหน้าตาเฉยบ้าง หรือบางทีศัตรูที่เรายิงก็กระเด็นกระดอนไปแบบผิดหลักฟิสิกส์บ้างก็ยังมีให้เห็นเนือง ๆ เพียงแต่ว่ามันไม่มีอะไรที่บั๊กร้ายแรงถึงขนาดไม่สามารถเล่นต่อได้ครับ
กราฟิก
ในส่วนของกราฟิกเกมนี้บน Xbox Series X ก็ถือว่าสวยงามดีใช้ได้ครับ รายละเอียดใบหน้าตัวละครนั้นไม่ได้เนี้ยบมาก แต่การแสดงสีหน้าท่าทางนั้นถือว่าใช้ได้อยู่ การขยับปากก็ตรงดีใช้ได้กับคำพูดคำจา ส่วนที่ผมชอบจริง ๆ จะเป็นพวกพื้นผิวรายละเอียดของชุดเสื้อผ้าอะไรแบบนี้มากกว่า พวกฉากคุยกันนี่ดีเทลเนื้อผ้าละเอียดดีใช้ได้เลยครับ
ส่วนของบรรยากาศเวลาลงไปสำรวจดาวต่าง ๆ นี่ ถึงผมจะบอกไปก่อนหน้านี้ว่ามันดูโล่ง ๆ ก็จริง แต่ว่าพวกวิวจากบนดาวนี่สวยงามมากอยู่ครับ เวลาลงไปที่ดาวบริวารแล้วแหงนหน้าขึ้นบนฟ้าเห็นดาวเสาร์นี่มันชวนให้อิ่มไปกับบรรยากาศได้ดีมากเลยจริง ๆ มันทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของดวงดาว ของระบบดาว และของกาแล็กซี่ที่เราอยู่ได้ชัดเจนเลย
อีกองค์ประกอบที่ต้องพูดถึงคือระบบฟิสิกส์ของเกมครับ Starfield นั้นมีวัตถุต่าง ๆ น้อยใหญ่เต็มไปหมดทั่วฉาก และเกือบทุกชิ้นก็สามารถหยิบได้ เก็บมาเป็นไอเท็มได้หมด ฉากไหนที่ไร้แรงโน้มถ่วงเราก็จะเห็นของชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ลอยทั่วไปตามฉาก เรียกได้ว่าด้านบรรยากาศนี่ไม่ต้องกังวลเลยครับ ได้ความรู้สึกการผจญภัยในอวกาศแน่นอน
งานเสียง
เสียงพากย์ของเกมนี้ทำออกมาได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้ทีแรกอยู่ครับ ตัวละครหลักทุกคนมีสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงในตอนสนทนาที่สื่ออารมณ์ขณะนั้นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นบทพูดเห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราตอบ หรือเป็นสถานการณ์อื่น ๆ นั้น นักพากย์แต่ละคนทำหน้าที่ของตนได้ดีเยี่ยมมาก ที่สำคัญคือแม้ทุกคนจะพูดภาษาอังกฤษ แต่ก็มีหลากหลายสำเนียงประกอบกันด้วยครับ แม้กระทั่ง Vasco ที่เป็นหุ่นยนต์ยังมีบุคลิกที่โดดเด่นออกมาเลยเหมือนกัน
เพลงประกอบนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าช่วยเสริมเกมได้เป็นอย่างดี เพลงหลักของเกมนั้นให้ความรู้สึกเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ และอัศจรรย์ใจครับ บางเพลงก็ให้ความรู้สึกลึกลับในสไตล์ของไซเบอร์พังก์ ถ้าจะมีนิยามเพลงประกอบของเกมนี้ก็คือมันคล้ายเป็นการรวบรวมเอาหลากหลายเพลงสไตล์ไซไฟของยุคสมัยมาไว้ในเกมเดียวกันนั่นล่ะครับ
สรุป
Starfield นั้น อาจยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบ มีหลายสิ่งที่ผมคิดว่าสามารถพัฒนาดีกว่านี้ได้ และหลายอย่างก็น่าจะต้องปรับเพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนเล่นอยู่ ถึงอย่างนั้นเมื่อพิจารณาองค์ประกอบทุกอย่างรวมกันแล้ว มันเต็มอิ่มมากครับ นี่เป็นอีกเกมของปีที่ผมยอมอดหลับอดนอนเล่นมาหลายต่อหลายวัน และเชื่อว่าถ้าใครได้ลองเล่นแล้วจุดติดเมื่อไรก็ยิงยาวไปอีกนานเลย เพราะนี่คือเกมที่จะมาตอบสนองความชื่นชอบสเปซแฟนตาซีให้กับคุณได้แน่นอน