Games Reviews

Tales of Arise Beyond the Dawn – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Tales of Arise Beyond the Dawn – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment Asia สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

Tales of Arise คือเกมแอ็กชันอาร์พีจีในแฟรนไชส์ Tales of ภาคล่าสุด ที่วางจำหน่ายไปเมื่อปี 2021 และได้รับคำชื่นชมมากมาย รวมถึงได้รางวัลเกม RPG ยอดเยี่ยมแห่งปีในงาน The Game Awards 2021 ด้วยเช่นกัน และเมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี ในปี 2023 นี้ก็ได้มีการวางจำหน่ายส่วนขยายเพิ่มเติมของเกมในชื่อ Beyond the Dawn ออกมาแล้วครับ


เนื้อเรื่อง

แม้ว่าระยะเวลาการวางจำหน่ายจะห่างกัน 2 ปี แต่เรื่องราวในเกมสานต่อจากเรื่องราวในตอนจบของตัวเกมหลักเป็นเวลา 1 ปี หลังจากที่อัลเฟน (Alphen) รวมถึงพรรคพวกคนอื่น ๆ สามารถปลดปล่อยผู้คนได้สำเร็จ และดวงดาวทั้งสองอย่างดาห์นา (Dahna) และเรนา (Rena) ที่แยกออกจากกันก็กลับมารวมกัน ธาตุหลักทั้ง 6 ได้รวมกันอยู่ในดาวดวงเดียวกันในแบบที่ควรจะเป็นนับแต่แรกเสียที

แต่ว่าผลของการที่ดาวรวมกันมันก็ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา นั่นคือ Mausoleum ที่เดิมมีหน้าที่ในการควบคุมพลังงานเวทบนดาวเรนากลับปรากฏขึ้นมาด้วย และระบบของมันก็ยังคงทำงานอยู่ จึงทำให้กระแสพลังไม่สามารถกลับคืนดวงดาวได้อย่างสมบูรณ์ อัลเฟนและเพื่อนพ้องไม่ว่าจะชิออน (Shionne) ลอว์ (Law) รินเวลล์ (Rinwell) โดฮาลิม (Dohalim) และคิซารา (Kisara) จึงต้องกลับมารวมตัวกันเพื่อตระเวนปิดการทำงานของ Mausoleum ต่าง ๆ พร้อมกับปัญหาใหม่ที่ก่อตัวขึ้น

ความรู้สึกในแง่เนื้อเรื่องที่ผมมีต่อ DLC ชุดนี้ก็คือ ตัวเกมยังคงมีโทนเรื่องที่จริงจังในลักษณะเดียวกับตัวเกมหลักครับ ธีมหลักเรื่องลำดับชั้นทางสังคม เรื่องความต่างทางวัฒนธรรม ความเกลียดชังที่มีต่อกันเพราะชาติกำเนิด ฯลฯ อะไรพวกนี้ยังคงเป็นประเด็นหลักของเกมครับ ผมชอบที่เกมเลือกจะเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจากที่สองเผ่าพันธุ์ต้องโดนบีบให้มาอยู่ร่วมกันอย่างกะทันหัน โดยที่ไม่มีการคลี่คลายรอยร้าวกันลงได้แบบง่าย ๆ ชนิดขอโทษกันแล้วจบ

ตลอดทั้งเกมเราจะได้เห็นว่าทั้งชาวดาห์นาและชาวเรนาต่างก็ต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน บ้างก็พอจะร่วมมือกันได้ แต่บ้างก็ยังคงเกลียดชังกันชนิดที่อยากเชือดอีกฝ่ายให้พ้น ๆ ไป เพราะฝั่งหนึ่งก็แค้นที่โดนกดขี่มาเป็นร้อย ๆ ปีและมีชีวิตเหมือนเป็นผักปลา ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ยังยอมรับความจริงไม่ได้ที่เดิมพวกตนอยู่ในสถานะผู้ปกครองแต่ต้องเสียบ้าน แล้วก็จำใจต้องมาขออาศัยอยู่กับเชื้อชาติที่ตัวเองเคยมองว่าเป็นทาสมาก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่อัลเฟนและพรรคพวกก็ต้องรับรู้ตลอดทั้ง DLC แล้วก็แน่นอนว่าจนจบเรื่องราวก็ไม่มีทางออกสำหรับปัญหานี้ที่แก้ไขทุกอย่างได้แบบทันทีทันใดครับ ตัวเกมนำเสนอแง่นี้ได้ค่อนข้างสมจริงเลย

แม้กระทั่งอัลเฟนที่เป็นตัวเอกเองก็ต้องเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในฐานะของดาบเปลวเพลิงเช่นกัน เพราะในสายตาของชาวดาห์นานั้นเขาคือวีรบุรุษผู้ปลดปล่อย แต่สำหรับชาวเรนาเขาคือจอมวายร้ายที่ทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา ซึ่งใน DLC นี้ก็จะนำเสนอแง่มุมนี้รวมถึงการหาทางรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยเหมือนกัน

หากจะมีจุดหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผมคิดว่าแอบไม่เคลียร์อยู่เหมือนกันก็คือปมปัญหาของตัวละครใหม่อย่างนาซามิล (Nazamil) ที่ก็มีการบอกเล่าภูมิหลังและความเป็นมาที่โอเคในระดับหนึ่ง เพียงแค่ว่าการอธิบายเกี่ยวกับความสามารถที่เธอมี และบทบาทของเธอใน DLC ชุดนี้แล้ว มันออกจะชวนงงนิดหน่อย ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ขอให้ไปลองเล่นกันดูนะ


เกมเพลย์

ในส่วนของเกมเพลย์นั้น ระบบเกมยังคงไม่ต่างอะไรมากนักจากตัวเกมหลัก นั่นคือเป็นแอ็กชันอาร์พีจีที่เมื่อคุณเข้าฉากสู้แล้วจะสามารถวิ่งไปมาได้อิสระ รวมถึงสามารถผสานท่าโจมตีปกติเข้ากับท่าไม้ตาย (Artes) ต่าง ๆ ที่เซ็ตเอาไว้ล่วงหน้าได้สูงสุด 12 ท่า โดยที่แต่ละตัวละครก็จะมีความสามารถพิเศษและระบบการเล่นเฉพาะตัวแตกต่างกันไป โดยที่คุณจะต้องเลือกใช้ความสามารถแต่ละคนให้ถูกสถานการณ์และถูกกับประเภทของศัตรู

หากว่าคุณเล่นตัวเกมหลักมาแล้ว ก็สามารถเล่น DLC ตัวนี้ต่อได้เลยโดยไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษครับ

ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ผมแอบขัดใจนิดนึงก็คงเป็นพวกเลเวล ความสามารถตัวละคร ท่าต่าง ๆ รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เก็บมาได้ในตัวเกมหลักจะไม่สามารถนำมาใช้ต่อใน DLC ได้เลย เต็มที่ก็จะมีโบนัสนิด ๆ หน่อย ๆ เมื่อคุณเล่นจบตัวเกมหลัก หรือเก็บเลเวลถึง 100 ทุกตัวละครอะไรแบบนั้นครับ ความรู้สึกของการเริ่มเล่น DLC จึงเหมือนเป็นการเล่นเกมใหม่ไปเลย (แต่ว่าเราจะสตาร์ตที่เลเวล 65 และมีพวกเซ็ตท่ามาให้ระดับหนึ่ง)

ผมก็พอเข้าใจอยู่ว่าถ้าให้โอนเลเวล โอนท่าหรือของต่าง ๆ จากตัวเกมหลักมาใช้ต่อเลยได้นี่ DLC มันจะหมูตู้ไปเลย เพราะหลายคนก็น่าจะเล่นจนตัวละคร OP ทะลุกันไปถึงไหนต่อไหน ถ้าเอามาใช้ได้ก็น่าจะฟาดเปรี้ยงเดียวศัตรูละลายกันไปทุกตัวอยู่ แต่มันก็แอบเสียดายตัวละครที่ปั้นกันมาเหมือนกันครับ กลายเป็นว่าพวกดาบเอย เกราะเอยที่ดี ๆ ต้องมานั่งเก็บใหม่กันหมด

องค์ประกอบอื่น ๆ ของ DLC นี้ก็ยังคงไม่ต่างจากตัวเกมหลักมากนัก ทั้งมินิเกมตกปลา ทั้งการกดดู skit ที่ตัวละครคุยกันเมื่อผ่านเหตุการณ์บางอย่าง การนำวัตถุดิบมาทำอาหารเพื่อบัฟปาร์ตี้ ฯลฯ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีก็คือบรรดาไซด์เควสต์ต่าง ๆ ของเกมครับ แต่ละไซด์เควสต์จะทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ความเป็นไปของโลกแห่ง Tales of Arise ได้มากขึ้นหลังจากที่ดาวทั้งสองรวมกัน และหลายเควสต์ก็จะให้เราได้รู้จักตัวละครแต่ละตัวในปาร์ตี้เรามากยิ่งขึ้น ซึ่งก็แน่นอนว่าทำให้คนเล่นได้เห็นพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของตัวละครในปาร์ตี้ครบทั้งสามคู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะอัลเฟนกับชิออน ลอว์กับรินเวลล์ และโดฮาลิมกับคิซารา

อย่างไรก็ตาม ใน DLC นี้มีจุดที่ผมแอบเสียดายอยู่บ้าง คือด้วยความที่ตัวเกมเป็น DLC นี่เอง แม้ว่าจะมีดันเจี้ยนใหม่ที่เป็น Mausoleum ให้เข้าไปวิ่งเล่น แต่พวกบรรดาความลับต่าง ๆ ก็ยังมีไม่มากเท่าตัวเกมหลัก ถึงกระนั้นก็เถอะ ความยาวของ DLC ชุดนี้หลังจากที่ผมเล่นจนจบและพยายามเก็บทุกอย่างให้ครบเท่าที่จะครบได้ ก็ใช้เวลาไปราว 23 ชั่วโมง ถือว่าเต็มอิ่มดีสำหรับคนที่ยังอยากสัมผัสกับโลกของ Tales of Arise ต่อ และยังคิดถึงบรรดาตัวละครที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเกมนี้ครับ


กราฟิก

สำหรับคุณภาพของกราฟิกในเกมนี้ ผมคิดว่ายังคงมีคุณภาพแบบเดียวกับตัวเกมหลัก นั่นคือเป็นการผสมระหว่างกราฟิกสไตล์เซลเฉดที่นำเสนอโมเดลตัวละครแบบอนิเม แต่สภาพแวดล้อมต่าง ๆ มีความละเอียดในระดับสูง ซึ่งก็ออกมาลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเอฟเฟกต์เวลาต่อสู้นี่รุนแรงสะใจและฉูดฉาดมาก และที่สำคัญคือเพอร์ฟอร์มานซ์อยู่ในระดับที่ดีไม่มีอาการเฟรมหล่นให้เห็น

จุดหนึ่งที่ผมคิดว่าคนเล่นตัวเกมหลักมาน่าจะพอใจกันไม่น้อยก็คือการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพบ้านเมืองในที่ต่าง ๆ ครับ แม้ว่าจะเป็นเมืองเดิมที่คุณเคยไปเดินเล่นมาก่อน แต่มันจะมีความแตกต่างกันในระดับหนึ่งหลังจากที่ดาวรวมกัน และหากคุณทำเควสต์ฟื้นฟูเมืองก็จะได้เห็นบ้านเมืองที่มีชีวิตชีวาขึ้นด้วยเช่นกัน


เสียงประกอบ

สำหรับเสียงประกอบและเพลงนั้นก็ยังทำได้ดีครับ เพลงประกอบในฉากสู้ยังคงเร้าใจ เสียงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ก็แน่นและทรงพลัง ทำให้ทุกการต่อสู้นั้นยังคงสนุกตื่นเต้นไม่เปลี่ยน ในส่วนของเสียงพากย์นั้น ผมเล่นเสียงอังกฤษก็รับรู้ได้ว่านักพากย์แต่ละคนนั้นฝีมือดีจริง ๆ น้ำเสียงในแต่ละฉากแต่ละซีนนั้นถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้เยี่ยมมาก


สรุป

Beyond the Dawn ยังคงมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ตัวเกมหลัก และถ้าคุณหลงรักและคิดถึงโลกรวมถึงตัวละครของ Tales of Arise ล่ะก็ DLC ชุดนี้จะช่วยมาคลายความคิดถึงให้กับคุณได้แน่นอน ซึ่งผมก็หวังว่าในอนาคตเราจะได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไปในโลกของเกมนี้ต่อไปครับ

The Review

85% ภัยคุกคามครั้งใหม่ ในดินแดนทวิโลกา

85%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์