Games Reviews

SHIN MEGAMI TENSEI V VENGEANCE – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

SHIN MEGAMI TENSEI V VENGEANCE – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณ SEGA Corporation สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
***รีวิวนี้จบบท Canon of Vengeance ไปหนึ่งรอบ โดยใช้เวลาประมาณ 55 ชั่วโมง

สำหรับ Shin Megami Tensei V Vengeance นี้ เป็นเกมเวอร์ชันอัปเดตหรือจะเรียกว่าเวอร์ชันสมบูรณ์ก็ได้ของ Shin Megami Tensei V ที่เคยลงให้กับเครื่อง Nintendo Switch เพียงเครื่องเดียวไปเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2021 ที่ผ่านมา และในคราวนี้ด้วยการพ่วงชื่อภาค Vengeance เสริมเข้ามานั้น ตัวเกมก็ได้รับการเพิ่มเติมเนื้อหาบทใหม่และวางจำหน่ายให้กับแพลตฟอร์มอื่นด้วย ส่วนจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมจะเล่าให้ฟังครับ


เนื้อเรื่อง

สำหรับใน Shin Megami Tensei V Vengeance นี้ เราจะได้รับบทเป็นเด็กหนุ่มม.ปลายที่เรียนในโรงเรียนโจอิน ประจำโตเกียว ซึ่งเราก็ใช้ชีวิตปกติไปตามเรื่องตามราว ทว่าวันหนึ่งตัวเราได้ประสบกับอุบัติเหตุอุโมงค์ใต้สะพานถล่ม เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเราก็มาอยู่ที่ดินแดนรกร้าง และเต็มไปด้วยซากปรักหักพังที่ดูยังไงก็คือโตเกียว แต่ก่อนที่จะได้รู้เรื่องรู้ราว ตัวเอกก็โดนกลุ่มปีศาจเข้าโจมตี แต่เคราะห์ดีที่มีบุคคลลึกลับซึ่งเรียกตนเองว่าอาโอกามิมาช่วยเหลือ เขาได้รวมร่างกับตัวเอกจนกลายเป็นตัวตนใหม่ที่เรียกว่านาโฮบิโนะ จากนั้นการเดินทางค้นหาความจริง (และหาวิธีกลับโตเกียวที่ตนรู้จัก) ก็เริ่มต้นขึ้น

อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าตัวเกมเวอร์ชันนี้จะเพิ่มเติมเนื้อหาใหม่ที่เรียกว่า Canon of Vengeance เข้ามา ส่วนเนื้อเรื่องต้นฉบับจะเรียกว่า Canon of Creation ที่ก็ยังมีให้เลือกเล่นเช่นเดิม โดยการแบ่งเนื้อหาทั้งสองบทนี้ผู้เล่นไม่ต้องกังวลครับว่าต้องเลือกตอบจุดไหน หรือดำเนินเรื่องยังไง เพราะตัวเกมจะมีให้เลือกตั้งแต่เริ่มเลยว่าเราต้องการเล่นเนื้อหาบทไหน แล้วจากนั้นเกมก็จะดำเนินไปตามเส้นเรื่องดังกล่าวเอง

ถ้าจะให้กล่าวถึงเนื้อหาของ Shin Megami Tensei V Vengeance นั้นยังคงมีเอกลักษณ์ของซีรีส์ที่เป็นการปะทะกันระหว่างฝั่งเทพเจ้าและปีศาจ ที่ก็เรียกได้ว่าบรรดาตัวละครต่าง ๆ นั้นขนมาจากทุกสรรพตำนานจนน่าจะเรียกได้ว่าเกือบจะหมดโลกแล้ว จะกลุ่มศาสนาอับราฮัม ตำนานจีน ตำนานญี่ปุ่น ตำนานไอริช ตำนานนอร์ส ตำนานกรีก ตำนานพื้นบ้านของกลุ่มประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตำนานแอฟริกัน ตำนานอเมริกาใต้ ฯลฯ บอกเลยว่าถ้าคุณกวาดตาไล่ดูชื่อจะเทพจะปีศาจในเกมนี้ ไม่มีทางที่จะไม่คุ้นชื่อเลยสักตัวครับ

แก่นของเรื่องราวนั้น ถ้าให้พูดโดยรวมมันจะมีลักษณะของการฟาดฟันกันด้วยปรัชญาความสองขั้วระหว่างระเบียบกฎเกณฑ์ (Law/Order) ที่มีฝั่งเทพเจ้าคอยควบคุม ส่วนฝั่งปีศาจก็เป็นตัวแทนของความโกลาหล (Chaos) ซึ่งล้วนแล้วแต่ต่างมีเหตุผลของตนเอง และในหลายครั้งแก่นของเรื่องก็จะสะท้อนออกมาในเควสต์รองที่มีให้เล่นและเลือกว่าในสายเควสต์เดียวกัน เราจะเลือกสนับสนุนแนวคิดด้านไหนและรางวัลที่ได้ก็จะต่างกันไปเช่นเดียวกัน (แต่เควสต์ส่วนมากจะไม่ได้มีทางเลือกในการจบเควสต์นะ)

โดยรวมแล้วผมคิดว่าเนื้อหาของเกมซีรีส์นี้จะดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างหนักกว่า และมีแง่มุมที่ซีเรียสจริงจังมากกว่าเกมที่เป็นวงศ์วานเดียวกันอย่างซีรีส์ Persona ครับ มันจะไม่มีโมเมนต์ผ่อนคลายที่ตัวละครจะพูดคุยชวนหัวกันมากนัก ทุกอย่างล้วนเคร่งขรึมจริงจัง แต่ว่าจังหวะจะโคนการดำเนินเรื่องราวในลักษณะนี้มันก็สนุกเข้มข้นและดึงความสนใจได้ตลอดเวลาครับ จุดหักมุมบางครั้งก็มาในจังหวะที่คาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน

หากจะมีส่วนที่ต้องกล่าวถึงในเชิงเนื้อหาของ Canon of Vengeance ก็คือ ในคราวนี้ตัวเลือกฉากจบจะมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นครับ จากเดิมในเนื้อหาต้นฉบับ Canon of Creation นั้น ฉากจบจะขึ้นอยู่กับการเลือกของเราในตอนท้ายเกม แต่สำหรับบทนี้แล้วสิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดฉากจบก็คือตัวเลือกคำตอบ รวมถึงการตัดสินใจในแง่ของเควสต์ย่อยที่เราเล่นมาทั้งเกมนั่นเอง ขึ้นอยู่กับว่าคำตอบของคุณนั้นโอนเอนไปฝั่ง Law/Order หรือ Chaos มากกว่ากัน แต่ว่าตัวเลือกในการตัดสินใจนั้นดูไม่ยากครับ ค่อนข้างจะแยกกันชัดเจนว่าทางเลือกไหนคือฝั่งอะไร


เกมเพลย์

หัวใจหลัก การผสมปีศาจ

ในส่วนของระบบการเล่นนั้น ยังคงมีหัวใจหลักเป็นการค้นหาปีศาจที่แข็งแกร่งมาช่วยเหลือในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการชักชวนในการต่อสู้ หรือการผสมปีศาจขึ้นมาเองที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยจากภาคก่อน ๆ หรือไม่ก็จากซีรีส์ Persona ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้าคุณอยากจะได้ปีศาจเก่ง ๆ มาใช้ก็ต้องลงมือลงแรงมากหน่อย บ้างก็อาจต้องผสมหลายขั้นหลายตอน บ้างก็อาจต้องไปทำไซด์เควสต์ก่อนถึงจะผสมได้

ส่วนที่ผมชอบของเกมในภาคนี้ก็คือบรรดาปีศาจ (รวมถึงตัวเราเอง) จะมีการบ่งบอกความเข้ากันได้ของการโจมตีแต่ละแบบอย่างชัดเจน ทำให้คุณเลือกปั้นสกิล ปั้นบิลด์ของแต่ละตัวได้ง่ายขึ้น เช่นถ้าตัวที่เข้ากันได้กับเวทไฟ คุณก็เน้นหาเวทไฟขั้นสูงมาใส่ให้ได้เลย และถ้าตัวนั้นความเข้ากันได้กับเวทน้ำแข็งติดลบก็อย่าไปเสียสล็อตฟรี ๆ เพราะควรเอาไปติดสกิลอื่นจะดีกว่า

ระบบที่ต้องกล่าวถึงอย่างหนึ่งก็คือระบบการใช้งาน essence นี่ล่ะครับ ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือเหมือนเป็นแก่นพลังของปีศาจแต่ละตัว ที่คุณอาจหาได้จากการสำรวจฉาก หรือไม่ก็ได้เป็นของขวัญจากปีศาจที่มีความสัมพันธ์อันดีกับคุณ ซึ่งระบบ essence นี่ล่ะที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณเพิ่มความเก่งให้กับตัวเอกของคุณ (รวมถึงปีศาจต่าง ๆ) ได้ เพราะคุณเลือกใส่สกิลที่ต้องการได้จาก essence ที่มีในมือเลย หรือถ้าไม่เลือกสกิลแต่เลือกความทนทานต่อเวทธาตุต่าง ๆ ที่ต้องการมาติดตั้งแทนก็ได้ ถ้าจะมีสิ่งที่ต้องระวังก็มีแค่ว่า essence พวกนี้พอใช้แล้วจะหมดไป ถ้าจะใช้ใหม่ก็ต้องไปหาเก็บใหม่

อีกระบบอย่าง Miracle ของภาคนี้ก็เป็นการเพิ่มอิสระและสร้างความสะดวกให้กับชีวิตผู้เล่นได้มากโข เพราะระบบนี้จะเป็นการช่วยเหลือผู้เล่นในภาพรวมแลกกับค่า Glory ที่ต้องใช้เพื่อปลดล็อก (แยกจากค่าเงินปกติ) บ้างก็ทำให้ปีศาจที่คุณชักชวนมาเลเวลเพิ่มทันทีที่ชักชวนสำเร็จ บ้างก็เพิ่มความเข้ากันได้กับเวทธาตุต่าง ๆ ของตัวคุณเอง เรียกง่าย ๆ คือมันจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นมาก ซึ่งถ้าใครอยากจะฮาร์ดคอร์ก็ไปปิดระบบช่วยเหลือพวกนี้เอาได้เหมือนกัน ทุกอย่างมันเอื้อและเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ทดลองเล่นอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิมมากครับ


การต่อสู้

ในแง่ของการต่อสู้นั้น ตัวเกมยังคงมีเอกลักษณ์เป็นการชิงความได้เปรียบจากการโจมตีศัตรูด้วยธาตุที่แพ้ หรือไม่ก็โจมตีให้ติดคริติคอล เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณเล่นงานศัตรูด้วยวิธีดังกล่าวได้ คุณจะได้เทิร์นสำหรับทำอะไร ๆ ก็ตามเพิ่มมาอีกหนึ่งเทิร์น (แสดงด้วยสัญลักษณ์กระพริบ) ดังนั้นถ้าคุณเล่นดี ตีติดคริหรือตีจุดอ่อนตลอด คุณก็อาจได้เทิร์นมาสูงสุด 8 เทิร์นไปเลย ในทางกลับกันหากว่าคุณตีแล้วศัตรูหลบได้ หรือตีไปแล้วไร้ผลเพราะเป็นธาตุที่ศัตรูป้องกันไว้ คุณจะเสียไปเลย 2 เทิร์นทันที และกฎนี้ก็ใช้บังคับกับฝ่ายศัตรูด้วยเช่นกัน

พอเป็นเช่นนี้ มันเลยทำให้ทุกรอบที่เจอศัตรูจะกดตีส่งเดชไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรต้องตรวจสอบก่อนว่าศัตรูแพ้ธาตุอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่สู้กับศัตรูระดับบอสที่ตีเราแรงตีเราหนักครับ เพราะบางทีการที่เราตีวืดไปหนึ่งรอบก็อาจเปิดโอกาสให้บอสซัดเราต่อเนื่องตูม ๆ จนหลับยกตี้ได้เลยเหมือนกัน หากว่าคุณโดนตีคริติคอลต่อเนื่อง หรือโดนตีจุดอ่อนต่อเนื่อง

ระบบที่ผมชอบในการต่อสู้ของภาคนี้ก็คือเกจ Magatsuhi ที่เป็นหนึ่งในระบบเฉพาะของภาคนี้ ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือมันเป็นเกจสำหรับการใช้ท่าพิเศษที่จะไม่รวมอยู่ในหมวดสกิลปกติ โดยที่ความสามารถจากเกจนี้มักจะมีอรรถประโยชน์สูงมากและแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ปีศาจที่กดใช้งานเกจนี้ หากเลือกใช้ได้ถูกจังหวะ ถูกงานจากที่กำลังจะแพ้ก็อาจพลิกมาชนะได้เลย

ด้วยลักษณะการเล่นตามที่กล่าวมา ก็เลยเรียกได้ว่าเกมภาคนี้ให้อิสระด้านการต่อสู้สูงมาก คนเล่นจะเปลี่ยนสกิล สลับปีศาจ หรือไม่ก็สร้างปีศาจตัวใหม่ ๆ ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมารับมือกับศัตรูรวมถึงสถานการณ์ที่พบเจอได้สะดวกมาก คุณจะมิกซ์แอนด์แมตช์สกิลยังไง จัดทีมแบบไหนก็สุดแท้แต่เลย

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าระบบการต่อสู้ในภาคนี้มีความเป็นมิตรกับผู้เล่นสูงมาก ค่อนข้างยืดหยุ่นกว่าที่ผ่าน ๆ มาและเอื้ออำนวยให้ลองอะไรใหม่ ๆ ได้เยอะขึ้น เมื่อบวกกับระบบผสมปีศาจที่เปิดกว้างขึ้น มันเลยทำให้การปั้นบิลด์มารับมือกับศัตรูที่ต้องเผชิญนั้นใช้เวลาน้อยลงกว่าเดิมมากถ้าเทียบกับภาคก่อน ๆ (แต่ว่าบอสบางตัวก็ยังคงมีลูกเล่นที่ทำให้เหนื่อยได้อยู่นะ)


การสำรวจ

หากจะมีสิ่งไหนที่ผมคิดว่าเป็นการ modernize เกมซีรีส์ Shin Megami Tensei ได้ดีที่สุด ก็คงไม่พ้นระบบการสำรวจฉากในภาคนี้ครับ  เดิมทีซีรีส์นี้เริ่มจากการเป็นเกมสไตล์ dungeon crawler ที่เดินทางไปตามโถงทางเดินเป็นช่อง ๆ ก่อนจะเริ่มทำเป็นฉากเดินอิสระในภาคสาม และในภาคปัจจุบันนี้ เกมให้อิสระแก่ผู้เล่นมากขึ้น ด้วยพื้นที่ในการสำรวจแต่ละจุดที่กลายเป็นพื้นที่เปิดอันกว้างใหญ่ และมีอะไร ๆ ให้เสาะหาพอควร แล้วพอในภาคนี้เราสามารถกระโดดได้ด้วย มันก็เลยทำให้จุดที่เข้าถึงได้มีเยอะขึ้น ซึ่งก็เท่ากับว่าเส้นทางต่าง ๆ ก็มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นโดยปริยายเหมือนกัน

แต่ละจุดของเกม มักจะมีอะไรให้คุณพบเจอเสมอ บ้างก็อาจเป็นไอเท็ม บ้างก็เป็นไซด์เควสต์ บ้างก็อาจเป็นศัตรูเก่ง ๆ ให้ได้สู้ ถึงกระนั้นก็ต้องไม่เข้าใจผิดนะว่าเกมนี้เป็นเกมโอเพนเวิลด์ที่จะมีกิจกรรมอะไรหลากหลายให้ทำ เพราะจะอย่างไรก็ตามเกมยังคงเป็น RPG เทิร์นเบสเป็นหลักอยู่ดีครับ ใครที่คิดจะว่าจะอยากเล่นอะไรแผลง ๆ นี่ก็เสียใจด้วย


กราฟิก

ผมคิดว่ากราฟิกของเกมนี้อาจไม่ได้โดดเด่นในแง่ความละเอียดมาก แต่ว่าอาร์ตสไตล์นี่เด่นชัดเจนครับ ผมคิดว่าเอกลักษณ์ที่ทุกคนนึกถึงทันทีเมื่อพูดถึงซีรีส์นี้ก็คือการออกแบบตัวละคร รวมถึงบรรดาปีศาจต่าง ๆ ในเกม ที่เกมนี้ก็ทำออกมาได้ดูเท่ดี และหลายตัวก็ตรงตามคำบรรยายที่ปรากฏของตำนานซึ่งเรา ๆ เคยผ่านตากันมา (แม้บางตัวจะแบบเอ๊ะ อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ) ซึ่งเอาเข้าจริงหลายตัวมันก็เป็นอะไรที่หลายคนคุ้นเคยกันดีตั้งแต่ภาคก่อน ๆ หรือจาก Persona นั่นล่ะครับ เพียงแค่ว่าในเกมนี้ปั้นโมเดลได้ออกมาเป๊ะกับดีไซน์งานอาร์ตที่เคยเห็นกันมามาก ๆ เลย

จุดที่ต้องพูดถึงก็คือพวกเอฟเฟกต์ท่าและสกิลต่าง ๆ นั้นทำออกมาฉูดฉาดและรุนแรงสะใจดี พวกท่าเฉพาะของตัวเอกนั้นก็ออกแบบมาดูเท่และแตกต่างจากสกิลทั่ว ๆ ไปของปีศาจตัวอื่น ๆ อยู่พอสมควรเลย ผมคิดว่าภาคนี้ใส่ใจกับท่าทางการเคลื่อนไหวของตัวละครค่อนข้างเยอะ มันเลยทำให้เกมดูรวดเร็วฉับไวแม้ว่าระบบสู้จะยังเป็นเทิร์นเบสเหมือนเคยครับ


เพลงประกอบ

ดนตรีของเกมนี้เป็นอะไรที่ทำให้ผมแอบประหลาดใจเหมือนกัน เพราะเพลงประกอบในฉากสู้นั้นทำออกมาได้เร้าใจและดุเดือดมาก เพลงประกอบตอนสู้หลายเพลงนี่ผมคิดว่าสามารถเอาไปเป็นเพลงสู้บอสใหญ่ของเกมอื่น ๆ ได้หลายเกมเลยด้วยซ้ำ ยังไม่นับว่าเพลงประกอบอื่น ๆ ก็ให้บรรยากาศและอารมณ์ที่หลากหลายไม่ซ้ำกันด้วย เรียกได้ว่าเพลงประกอบนี่ถือเป็นหนึ่งในจุดที่ดีมากของเกมนี้เลย


สรุป

จากประสบการณ์ที่เราได้สัมผัสมาจนถึงตอนนี้ Shin Megami Tensei V Vengeance คือเกม RPG ที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพอย่างไม่ต้องสงสัย หากคุณเป็นแฟนซีรีส์นี้มาแต่เดิม คุณจะมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมแน่นอน หากว่าคุณไม่เคยเล่นซีรีส์นี้เลย ภาคนี้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เลวเพราะตัวเกมนั้นเป็นมิตรกับคนเล่นมากกว่าที่ผ่าน ๆ มาครับ

The Review

85% เทพธิดากำเนิดใหม่ ในบทแห่งการล้างแค้น

Shin Megami Tensei V Vengeance คือเกม RPG คุณภาพสูงที่มีระบบการเล่นลึกซึ้งและเนื้อหาที่สนุกเข้มข้น เกมมีความเป็นมิตรกับผู้เล่นสูง จึงทำให้ไม่ว่าจะหน้าใหม่หรือหน้าเก่าก็สนุกเหมือนกันได้

85%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์