พรีวิว Two Point Museum [Preview]
*ขอขอบคุณ SEGA Corporation สำหรับโอกาสในการได้ลองเล่นช่วงพรีวิวด้วยครับ
ถ้าจะให้แนะนำเกม Simulation ที่ค่อนข้างเป็นมิตรและเผาเวลาทิ้งได้เป็นสิบเป็นร้อยชั่วโมง ซีรีส์ Two Point น่าจะติดอันดับเกมแนะนำในใจของใครหลายคน และเนื่องจากนี่เป็นซีรีส์ที่ยึดเนื้อหาเอาตามตีม ที่ผ่านมาเราได้เข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว ได้ดูแลเด็กเกรียนแล้ว มาคราวนี้เราจะลองมาสวมหมวกผู้บริหารพิพิธภัณฑ์กันดูบ้าง
หลังจากที่ได้ลองเล่นบิลด์พรีวิวของเกมนี้ไปหลายชั่วโมง นี่คือความรู้สึกแรกของผมครับ
ตัวเกมยังอาศัยการต่อยอดพื้นฐานงานเกมเพลย์มาจากเกม Two Point ก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการสร้างห้อง การวางไอเท็ม การจัดวางที่ทางของคนทำงาน ไปจนถึงงานออกแบบ UX UI ก็ยังคงไม่ต่างจากเดิมมาก มีการแนะนำการเล่นเบื้องต้นที่ไม่ยาวและเข้าใจง่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผมติดใจอะไรครับ เพราะพื้นฐานเกมเพลย์เขาดีอยู่แล้ว เหมือนข้าวสวยคุณภาพเยี่ยม ที่ต้องกังวลคือส่วนของกับข้าวหรือองค์ประกอบความเป็นพิพิธภัณฑ์ มันจะออกมาให้รสชาติแบบไหน
จุดขายแบบตะโกนของ Two Point Museum เลยก็คือเกมเพลย์ในส่วนที่เราจะต้องส่งคนของเราออกไปผจญภัยตามสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจมีวัตถุโบราณหลับใหลอยู่ จากนั้นก็ขนกลับมาทำการบำรุงรักษาแล้วจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นปลาพันธุ์หายาก ซากฟอสซิล โครงกระดูกไดโนเสาร์ พวกนี้เรียกว่าเป็นวัตถุดิบหลักของพิพิธภัณฑ์ การเล่นในด่านนึงเราจึงต้องส่งคนบินออกไปผจญภัยบ่อยมาก เพราะถ้าไม่มีของใหม่มาโชว์เพิ่ม เราก็จะขยับขยายกลุ่มคนดูไม่ได้ ทำให้เรามีรายได้ไม่พอ แล้วหนี้ก็จะงอกงาม
เกมเพลย์ส่วนนี้ต้องบอกว่ามีเลเยอร์ที่ซับซ้อนประมาณนึง เพราะมันไม่ใช่แค่การจะส่งใครไปผจญภัยก็ได้ ภารกิจบางอย่างจำเป็นที่จะต้องให้นักโบราณคดีของเรามีสกิล เช่น สกิลการเอาตัวรอด เราถึงจะส่งไปทำงานได้ ก็เป็นหน้าที่เราที่ต้องสร้างห้องเรียนไว้ให้บุคลากรศึกษาหาความรู้ แต่ดีตรงที่ผมรู้สึกว่าการอัปเกรดทักษะใหม่ ๆ ในเกมนี้ค่อนข้างเร็วกว่าแต่ก่อนมาก
และการจะบุกเบิกพื้นที่ค้นหาใหม่ก็อาจจำเป็นต้องทำเงื่อนไขบางอย่างก่อน เช่น จะต้องส่งคนไปเคลียร์สิ่งกีดขวางทางเข้าให้เรียบร้อย ถึงจะสามารถไปออกฟีลด์สนามจริงได้
ทุกอย่างที่ว่าไปข้างบนต้องใช้เงินทั้งสิ้นครับ เพราะเขาไม่ได้ให้เราบริหารพิพิธภัณฑ์การกุศล เงินเลยเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด แล้วเราจะหาเงินมาได้ยังไงล่ะ? เราก็ต้องทำตามโจทย์ที่เกมให้มา
สิ่งที่โดดเด่นของซีรีส์ Two Point มาตลอดก็คือการกำหนดโจทย์และความท้าทายให้ผู้เล่น ตามสิ่งที่ต้องบริหาร อย่าง Two Point Campus ก็คือการบริหารหลักสูตรและสิ่งอำนวยความสะดวกของนักเรียนให้ดีที่สุด ไล่ตั้งแต่การจัดการจำนวนคนเข้าเรียนไปจนถึงการดูแลเรื่องเล็กน้อยอย่างการจัดปาร์ตี้ไม่ให้นักเรียนรู้สึกว่าชีวิตมันแห้งแล้งเกินไป ยิ่งบริหารดีกระเป๋าเรายิ่งตุง
แล้วอะไรเป็นโจทย์หลักเมื่อเราต้องมาเป็นภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์แล้วต้องหาเงินด้วยล่ะ? สิ่งนั้นคือการสร้างประสบการณ์ของผู้เข้าชมให้รู้สึกว่า “อืมม พิพิธภัณฑ์นี้มันมีของดีเว้ย เข้ามาแล้วรู้สึกสมองโตขึ้น” การจัดแสดงของเราจะต้องมีการวางป้ายหรือบอร์ดให้ความรู้ประกอบอย่างเพียงพอ เพื่อให้คนดูรู้ด้วยว่าพวกเขากำลังดูอะไรอยู่ รวมถึงของตกแต่งต่าง ๆ ก็ต้องจัดวางให้ครอบคลุม ซึ่งของจัดแสดงแต่ละชิ้นจะมีค่าบอกครับว่ามีป้ายนำเสนอและการตกแต่งเพียงพอหรือไม่
เกมยังคิดถึงโจทย์เกี่ยวกับเด็กน้อยที่ย่ำเท้าเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นเคสพิเศษที่เราต้องหาวิธีรับมือ ตัวอย่างที่เกมให้ผมได้ลองก็คือ การใช้เทคโนโลยีโมเดล 3 มิติ ปั้นไดโนเสาร์ยักษ์ที่เป็นเครื่องเล่นออกมา ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ผ่านการเล่น และแน่นอนว่ามันช่วยเพิ่มกำไรให้เราด้วย
รายได้หลัก ๆ ของเราจะมาจากการขายตั๋วในช่วงแรก แต่ก้อนที่มันใหญ่จริง ๆ คือเงินบริจาคครับ เกมจะให้เราตั้งกระบอกใส่เงินเพื่อให้คนมาเที่ยวแล้วประทับใจของที่เราจัดแสดงมาโปรยทานให้ ถ้าวางได้ครอบคลุมพอนี่แทบจะเป็นแหล่งรายได้ก้อนโตต่อรอบของเราเลย
และการเลือกตีมของพิพิธภัณฑ์ถ้าเลือกตีมต่างกัน โจทย์ก็ไม่เหมือนกัน มันจะมีความซับซ้อนคนละแบบครับ อย่างพิพิธภัณฑ์ใต้ทะเลมันไม่ใช่แค่สร้างตู้ปลายักษ์แล้วก็จบ มันก็จะมีข้อกำหนดครับว่าปลาบางชนิดที่เราไปจับมาได้ บางสายพันธุ์เราต้องสร้างตู้ปลาเขตร้อน บางสายพันธุ์ตู้ปลาต้องเย็น บางตัวก็จะมีข้อจำกัดลงไปอีกเช่นห้ามใส่ปลาพันธุ์นี้เยอะเกินไป เพราะมันจะตีกันเอง
พูดได้เลยว่ามันเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนแต่ก็สนุกมาก ๆ ทีมสร้างยังบริหารเสน่ห์ตรงนี้เก่งเหมือนเดิม
หากจะมีจุดที่อยากให้เกมมันทะเยอทะยานกว่านี้ก็คือ…
ส่วนที่ส่งนักโบราณคดีออกไปสำรวจ ผมอยากให้เราได้เห็นแอนิเมชันหรือภาพตอนไปผจญภัยมากกว่านี้ ในบิลด์ที่เล่นเหมือนเราจะเห็นแค่พวกนักโบราณคดีขึ้นเครื่องบินออกไป แต่เราไม่ค่อยเห็นตอนพวกเขาผจญภัยเท่าไรครับ อาจจะมีบ้างที่พอพวกเขาเจออุปสรรคมันก็จะมีโชว์หน้าต่างขึ้นมาให้เราตัดสินใจ ถ้ามาเป็นแอนิเมชันให้ดู มันคงสุดกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ครับว่างานช้าง
ส่วนต่อมา ในพรีวิวนี้ ผมได้เล่นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับชีวิตใต้ทะเล (Marine Life) ใจจริงผมคิดว่าพิพิธภัณฑ์เหนือธรรมชาติ (Supernatural) มันน่าเล่นกว่า แต่ผมอยากลองแบบแรกก่อน เพราะผมอยากรู้ว่าเขาจะทำออกมาไม่จืดอย่างที่ผมอคติไปล่วงหน้าได้รึเปล่า ปรากฎว่ามันก็ต้มจืดจริง ๆ ครับ ฮ่า ๆ ๆ
เหตุผลก็คือ ในพิพิธภัณฑ์ชีวิตใต้ทะเลเราต้องสร้างตู้ปลาขนาดยักษ์ พอจับปลาใส่เข้าไปมันมองไม่ค่อยออกครับ ต้องอาศัยการซูม คือการที่เราได้เห็นพวก NPC หรือผลงานของเรามันมีแอ็กชันในเกมก็คือความบันเทิงอย่างนึง อาจจะเพราะปลามันดูตัวเล็กเกินไปด้วย แต่คิดว่าถ้าไปสายเหนือธรรมชาติคงมีอะไรให้น่าสนใจมากกว่านี้ เพราะดูจากตัวอย่างคือเอาแวมไพร์มาโชว์กันเลย
ที่เล่าไปเป็นแค่ส่วนต้นเกมครับ (แต่ก็ล่อไปหลายชั่วโมงแล้ว) จากที่ทีมงานแง้ม ๆ มา จะมีลูกเล่นและกาวให้ดมอีกเยอะ ทั้งการจ้างไกด์ให้มาพาคนเดินชมพิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงสร้างสวนพืชพรรณแปลก ๆ อีกต่างหาก
โดยภาพรวมต้องบอกว่า ผมค่อนข้างประทับใจกับการได้ลองพรีวิวนี้ และตัวเกมเต็มน่าจะมีศักยภาพในการเป็นอีกเกมที่ไม่แพ้สองเกมรุ่นพี่ในซีรีส์นี้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องรอพิสูจน์ในอนาคต
Two Point Museum มีกำหนดวางจำหน่าย 4 มีนาคม ปี 2025 บน Microsoft Windows, macOS, Linux, PlayStation 5, และ Xbox Series X/S