*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Bandai Namco Entertainment มา ณ โอกาสนี้ครับ
คงต้องออกตัวก่อนเลยว่า สำหรับผมเองนั้นไม่ใคร่จะคาดหวังกับเกมสไตล์อนิเมมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายเกมมักอยู่ในระดับที่พอผ่านหรือโอเค เพราะส่วนมากก็เข้าใจกันดีว่าเกมเหล่านั้นทำออกมาเพื่อสนองนี้ดแฟน ๆ ที่ชื่นชอบ IP ต่าง ๆ เป็นทุนเดิมเสียมากกว่า
ซึ่งความประทับใจแรกสุดของผมต่อ Scarlet Nexus ก็ไปในทางนั้นนั่นแหละครับ ด้วยหน้าเกมที่ออกมาอนิเมจ๋ามาก แม้จะเป็น IP ใหม่เลยผมก็มองว่าคงไม่ต่างอะไรกันมากนัก แต่พอได้ลองเล่นแล้วถึงได้รู้สึกว่าไอ้ที่คาดไว้ตอนแรกนั้นผิดถนัดเลย
เนื้อเรื่อง
Scarlet Nexus ดำเนินเรื่องในโลกอนาคตอันห่างไกลที่ซึ่งได้มีการค้นพบฮอร์โมนชนิดหนึ่งในสมองของมนุษย์ที่เรียกว่า Psionic Hormone ที่ทำให้ผู้คนสามารถใช้พลังจิตในรูปแบบต่าง ๆ ได้มากมาย และสังคมมนุษย์ก็เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ทุกสิ่งทุกอย่างรายล้อมและเกี่ยวพันกับพลังจิตนี่เอง แต่ทว่ามนุษย์ก็ได้เผชิญกับภัยคุกคามจากสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปซึ่งเรียกว่า Other และเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจะโดนกัดกินสมองทุกรายไป
เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้มนุษย์จึงได้มีการจัดตั้งหน่วย OSF (Other Suppression Force) ที่รวบรวมเหล่านักรบพลังจิตผู้แข็งแกร่งขึ้นมารับมือ และในปี 2020 ของในเกม (ที่ไม่ได้อ้างอิงจากปีค.ศ.) ก็ได้มีทหารใหม่สองรายที่ผ่านการทดสอบเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ OSF นั่นคือยุยโตะ สุเมรากิ และคาซาเนะ แรนดัลล์ ที่ทั้งสองจะมีชะตาเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งและจะส่งผลต่อชะตาของทั้งโลกในภายหลัง
ถ้าหากจะให้พูดถึงเนื้อหาของเกมแล้ว ในช่วงต้นอาจรู้สึกว่าไม่ค่อยแตกต่างจากอนิเมอื่น ๆ ทั่วไปนักและมองแวบเดียวก็จะสังเกตเห็นตัวละครที่มีบุคลิกลักษณะครบถ้วนตามสไตล์อนิเมอย่างที่หลายคนคงคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะตัวเอกชายที่ซื่อ ๆ คนดีนิสัยเถรตรง ตัวเอกหญิงที่เย็นชา ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกแนวสาวคูล เพื่อนร่วมตี้ในลักษณะชายวัยกลางคนที่ล่ำถึกมากประสบการณ์และพึ่งพาได้ ตัวละครหญิงเพื่อนสมัยเด็กของพระเอกที่ใครเห็นก็รู้ว่ามีใจให้พระเอกแต่เจ้าตัวกลับทึ่มมองไม่ออก ฯลฯ แต่ถึงแบบนั้นพอเล่น ๆ ไปตัวละครเหล่านี้ก็มีเสน่ห์ในตัวเองกันไม่เบา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้เล่นได้เห็น Bond Episode หรืออีเวนต์ความสัมพันธ์กับแต่ละคนที่จะลงรายละเอียดภูมิหลังและปมในใจของแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าส่วนตัวผมจะมองว่า pacing ของอีเวนต์พวกนี้ในบางจุดมันออกจะประหลาดไปหน่อย เพราะมันจะมีช่วงเนื้อเรื่องที่ฝ่ายยุยโตะและฝ่ายคาซาเนะจะแยกเส้นเรื่องกัน และในตอนวนมาเจอกันก็มีสู้มีปะทะกัน แต่พอผ่านเหตุการณ์ไป ตัวละครฝ่ายตรงข้ามดันส่งข้อความมาคุยแล้วนัดทำอีเวนต์กันแบบไม่หือไม่อือซะอย่างงั้น ทั้งที่เพิ่งจะเอาดาบเอามีดไล่เชือดกันอยู่หยก ๆ
อย่างไรก็ตาม พอเริ่มเข้าช่วงกลางเรื่องแล้ว เกมจะทำการถล่มผู้เล่นด้วยข้อมูลต่าง ๆ อย่างรวดเร็วชนิดที่เรียกว่ามี info dump ทุ่มเข้าใส่อย่างไม่หยุดไม่หย่อนเลยก็ว่าได้ หากไม่ตั้งสติให้ดีก็อาจมีหลุดเนื้อเรื่องไปเลยเหมือนกัน เพราะตัวเกมจะเริ่มอธิบายถึงฝักฝ่ายในเกมที่ต่างก็มีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ของตัวเอง มีแผนสมคบคิด แถมยังเล่นใหญ่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงตอนจบเกม
ซึ่งในหลายครั้งผมรู้สึกว่าพล็อตในบางจุดน่าจะมีการ “ลด” ความสำคัญของมันลงหน่อยก็อาจจะทำให้เนื้อหามันย่อยง่ายขึ้นบ้าง แต่ถ้าถามว่ามันบันเทิงไหม? มันบันเทิงนะครับ เล่นในแต่ละบทแล้วทำให้ผมรู้สึกอยากเล่นต่อโดยไม่สนเวลานอนเพราะความกระหายใคร่รู้ว่าเนื้อหามันจะเป็นยังไงต่อตลอดเวลา และการขมวดจบในตอนท้ายก็ถือว่าทำได้น่าพอใจแม้ว่ายังคงมีบางประเด็นที่ไม่มีการเคลียร์ให้ชัดเจน (อาจเพราะเปิดช่องเผื่อทำภาคต่อ) แต่พล็อตหลัก ๆ นั้นถือว่าปิดประเด็นสมบูรณ์ในตัวมันเองได้ดีอยู่
และก็อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่ายุยโตะกับคาซาเนะนั้นมีการแยกเส้นเรื่องกันชัดเจน ทำให้หลายประเด็นที่ผู้เล่นสงสัยหรือแค่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึก ก็จำเป็นต้องเล่นอีกรอบเพื่อรับรู้เรื่องราวอีกด้านหนึ่งครับ
เกมเพลย์
ไฮไลท์ของเกมนี้เลยจริง ๆ คือระบบการเล่นนี่ล่ะครับ ต้องยอมรับว่าในทีแรกผมคิดว่าระบบการเล่นของเกมอาจเหมือนเกมแนว hack and slash ทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้มีอะไรลึกมากนัก เพราะเกมแนวนี้ที่ทำระบบออกมาได้ลุ่มลึกและซับซ้อนก็ไม่พ้น Devil May Cry เอย Ninja Gaiden เอยหรือ God of War อะไรทำนองนั้น ซึ่งก็แน่นอนล่ะว่าผมไม่ได้คาดหวังว่าเกมนี้จะมีระบบการเล่นในระดับเกมเหล่านั้น
แต่ว่าพอได้ลองสัมผัสเองจริง ๆ ก็พบว่า Scarlet Nexus นั้นทำออกมาได้ดีกว่าที่คาดและมีเอกลักษณ์ในตัวเองไม่เบาเลย และตัวเกมก็ยิ่งเปิดกว้าง ยิ่งมีทางเลือกในการต่อสู้มากขึ้นเมื่อคุณอัปสกิลมากยิ่งขึ้นไป จนออกมาเป็นเกมแอ็คชันที่รวดเร็ว โฉบเฉี่ยว และต้องใช้ความสามารถให้เหมาะกับงานไม่ใช่สักแต่เข้าไปกดตีรัว ๆ แล้วก็ผ่านได้
หากจะให้อธิบายก็คือทั้งยุยโตะและคาซาเนะมีพลังจิตประจำตัวนั่นคือไซโคคิเนซิส หรือก็คือการเคลื่อนย้ายสิ่งของได้โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัส ทำให้บรรดาวัตถุประกอบฉากมากมายในเกมเราสามารถหยิบยกมาปาใส่ศัตรูได้เกือบหมด และเมื่อผสมผสานกับการโจมตีปกตินั้นทำให้การต่อสู้ในแต่ละครั้งมีความน่าสนใจและเท่ในตัวของมันเอง
ซึ่งก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าพอยิ่งอัปสกิลมากขึ้น คุณจะมีตัวเลือกในการเล่นมากขึ้น ไม่ว่าจะกระโดดสองชั้นเอย แดชกลางอากาศเอย ฯลฯ ที่จะยิ่งทำให้การต่อสู้ของคุณโฉบเฉี่ยวยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างที่ผมคิดว่าเกมยังทำได้มากกว่านี้เช่นการเพิ่มระบบแคนเซิลท่าโจมตีเพื่อหลบในลักษณะเดียวกันกับเกมแอ็คชันความเร็วสูงเกมอื่น ๆ เพราะเกมนี้ทำไม่ได้ จะหลบต้องรออนิเมชันโจมตีออกหมดก่อนเท่านั้น
แน่นอนว่าตัวละครหลักสองตัวที่เราเล่นได้อย่างยุยโตะและคาซาเนะนั้น แม้จะมีพลังจิตแบบเดียวกัน แต่ระบบการเล่นพื้นฐานของทั้งสองก็ค่อนข้างต่างกัน เพราะยุยโตะมีอาวุธเป็นดาบทำให้เน้นโจมตีประชิดเป็นหลัก สายสกิลก็จะหนักไปทางเพิ่มฮิตโจมตี ส่วนคาซาเนะจะใช้มีดบินในการโจมตีจึงเป็นการสู้แบบทิ้งระยะ และสายสกิลก็จะเน้นความคล่องตัวเช่นแดชกลางอากาศได้สองครั้งติดต่อกัน เป็นต้น ถ้าพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือยุยโตะนั้นเป็นซามูไร ส่วนคาซาเนะเป็นนินจาครับ
ระบบที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้เลยก็คือ SAS (Struggle Arms System) ที่เป็นการยืมพลังจิตของเพื่อน ๆ ร่วมทีมมาใช้ชั่วคราว ซึ่งก็ไม่มีความสามารถไหนที่ไร้ประโยชน์เลย เพราะทุกพลังจะมีจังหวะและมีสถานการณ์ให้เราต้องใช้ทั้งสิ้น หากคุณเจอศัตรูล่องหนคุณก็ต้องใช้พลังตาทิพย์หรือ Clairvoyance เพื่อมองหาตัวมัน หากเจอศัตรูที่เคลื่อนไหวรวดเร็วเกินจะไล่ทันก็ต้องใช้ Hypervelocity เพิ่มความเร็วของตนเองจนรอบข้างเสมือนสโลว์โมชัน หรือศัตรูบางตัวที่ตัวมันชุ่มไปด้วยน้ำมันก็ฟาดฟันมันด้วย Pyrokinesis จนไฟลุกท่วมตัวมัน เป็นต้น
ที่สำคัญคือความสามารถต่าง ๆ เหล่านี้ของเพื่อนร่วมทีมจะสามารถพัฒนาขึ้นและดีขึ้นได้หากผู้เล่นเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ แต่ละคน หากจะมีข้อติอยู่บ้างก็คงเป็นรูปแบบของศัตรูที่ได้เจอที่มักจะค่อนข้างซ้ำกันโดยเปลี่ยนดีไซน์จากเดิมแค่เล็กน้อยครับ
การเพิ่มค่าความสัมพันธ์นั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงคุณเลือกเพื่อนคนนั้นมาเข้าร่วมสู้ด้วยบ่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ ขึ้นตามลำดับ แต่ไฮไลท์อย่างหนึ่งของเกมก็คือระบบการให้ของขวัญนั่นเอง เพื่อนแต่ละคนจะมีของขวัญที่เราสามารถให้ได้ที่จะช่วยเพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้มาก แต่สิ่งที่ผมชอบก็คือเมื่อเราให้ของขวัญกับเพื่อนไป ของชิ้นนั้นก็จะไปวางให้เห็นบนโต๊ะส่วนตัวของเพื่อนคนนั้น และในบางทีก็จะได้เห็นเพื่อนมีปฏิสัมพันธ์กับของที่เราให้ไปด้วย เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกมมีชีวิตชีวามากเลยทีเดียว
เกมนี้เป็นแอ็คชันอาร์พีจี ดังนั้นก็จะมีพื้นที่เมืองให้เราเข้าไปเดินเล่นได้ หรือบางพื้นที่ที่ปราศจากศัตรูให้เราไปรับเควสต์หรือซื้อของ และยังสามารถนำเอาวัตถุดิบที่ได้จากศัตรูไปแลกเป็นของที่ดีกว่าที่มีขาย (ซึ่งของแต่งกายกว่า 80% ต้องอาศัยแลกเอา รวมถึงอาวุธหรือ plug-in เพิ่มความสามารถบางชิ้นก็เช่นกัน) หากจะมีอะไรที่น่าเสียดายก็คือพื้นที่ในเมืองที่ให้เราสำรวจได้นั้นน้อยมากและแทบไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกเหนือไปจากคุยจิปาถะกับ NPC และรับเควสต์ ทั้งที่ออกแบบมาดูยิ่งใหญ่และชวนให้สำรวจเหลือเกิน
กราฟิกและการนำเสนอ
เกมนี้ทำภาพกราฟิกออกมาในแบบเซลเฉดคุณภาพสูงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบังคับอนิเมอยู่ เอฟเฟคต์ต่าง ๆ สีสันจัดจ้านชวนแสบตาในบางครั้ง ดีไซน์ของแต่ละฉากทำออกมาได้ดูยิ่งใหญ่อลังการไม่เบา ติดอยู่แค่ว่าหลายจุดที่เราเห็นเราจะไม่สามารถไปสำรวจได้เลย ทำได้แค่ดูเป็นฉากหลังเท่านั้น ดีไซน์โดยรวมของเกมนี้เห็นได้ชัดว่าออกแบบโดยเน้นวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นหลักแต่นำมาผสมกับความไซไฟอนาคตจนออกมาเป็นแบบที่เห็นครับ
สไตล์การเล่าเรื่องของเกมนี้จะเน้นหนักไปที่การใช้ภาพนิ่งประกอบกับเสียงพากย์ คล้ายกำลังดูมังงะที่มีเสียง แม้จะมีคัตซีนบ้างแต่ก็ถือว่าน้อยถ้าเทียบสัดส่วนกัน ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่ได้ติดปัญหาอะไรกับการนำเสนอในรูปแบบนี้ครับ เข้าใจว่าเพราะการทำแบบนี้ค่อนข้างประหยัดและนำเสนอง่ายกว่า
เพลงประกอบ
เพลงประกอบเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ดีของเกมนี้เช่นกัน บางเพลงให้ความรู้สึกหลอนหูผสมความลึกลับของบรรยากาศแบบไซไฟ บางเพลงก็ชวนฮึกเหิมให้ผู้เล่นเตรียมฟาดฟันกับ Other แต่พอเป็นช่วงพักเบรกแต่ละบท เพลงก็จะออกแนวสบาย ๆ ชวนให้เอนหลังผ่อนคลายเงียบ ๆ และเมื่อเจอศึกสำคัญดนตรีก็จะเร่งเร้าแต่ไม่รู้สึกกระแทกกระทั้นให้รำคาญหู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพลงใน OP อย่าง Dream In Drive ที่ชวนประทับใจตั้งแต่ตอนแรกที่เปิดเกมครับ