Games News Reviews

Ninja Gaiden Ragebound – รีวิว [REVIEW]

Ninja Gaiden Ragebound – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Koei Tecmo มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

Ninja Gaiden นี้ถือเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่เกมเมอร์รุ่นเดอะหลายคนน่าจะรู้จัก ซึ่งก็คงไม่พ้นการได้เล่นไตรภาคต้นฉบับสมัยเครื่องแฟมิคอมนั่นล่ะครับ ซึ่งแฟรนไชส์นี้ก็ได้รับการวิวัฒนาการมาในปัจจุบันด้วยกราฟิกแบบ 3D ซึ่งล่าสุดก็คือ Ninja Gaiden 2 Black ที่วางจำหน่ายไปเมื่อช่วงต้นปี พร้อมภาค 4 ที่จะตามมาในอนาคต แต่สำหรับ Ninja Gaiden Ragebound ในคราวนี้ คือการหวนกลับสู่รากฐานของไตรภาคสมัยแฟมิคอม ภายใต้ฝีมือการพัฒนาของ Game Kitchen ที่เคยสร้างซีรีส์ Blasphemous นั่นเอง


เนื้อเรื่อง

เรื่องราวของ Ninja Gaiden Ragebound นี้เรียกได้ว่าเป็นการคารวะให้แก่เกมภาคแรกสมัยแฟมิคอมโดยแท้ เพราะบทนำของเกมจะให้คุณได้พบกับชะตากรรมของโจ ฮายาบุสะผู้เป็นพ่อของริว ฮายาบุสะที่เป็นพระเอกตลอดกาลของแฟรนไชส์ ซึ่งออกเดินทางไปดวลตัดสินกับศัตรูคู่อาฆาตจนพ่ายแพ้ หรือก็คือมันเป็นการสร้างฉากอินโทรของเกมภาคแรกขึ้นมาใหม่เลยนั่นล่ะครับ

สิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คือ รอบนี้คุณไม่ได้เล่นเป็นริว ฮายาบุสะแต่จะเล่นเป็นนินจามือใหม่ชื่อเคนจิที่หลังจบการฝึกฝนกับริวแล้วก็พบว่าหมู่บ้านฮายาบุสะโดนโจมตีจากปีศาจโดยไม่รู้สาเหตุ แต่สถานการณ์ที่ปกติริวจะเข้าจัดการเองแบบนี้ เขากลับทำไม่ได้เพราะได้รับจดหมายสั่งเสียจากพ่อว่าหลังจากที่ตนตายแล้ว ริวจะต้องเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อพบกับชายที่ชื่อวอลเตอร์ สมิธ จึงเป็นหน้าที่ของเคนจิที่ต้องแก้ไขสถานการณ์แทน

เหตุการณ์ในเกมนี้จึงเป็นการดำเนินเรื่องในลักษณะคู่ขนานไปกับเกมภาคแรกสุดบนแฟมิคอมที่ริวต้องไปสะสางเรื่องของตนเองในอเมริกา ฝั่งนี้ที่ญี่ปุ่นเลยเป็นหน้าที่ของเคนจิผู้เป็นนินจาแห่งหมู่บ้านฮายาบุสะเช่นเดียวกัน

แต่ถึงอย่างนั้น เคนจิก็ไม่ได้เผชิญสถานการณ์คนเดียวเพราะด้วยชะตานำพา ทำให้เขาต้องพบกับนินจาหญิงชื่อคุโมริจากสังกัดนินจาแมงมุมดำที่เป็นคู่อาฆาตกับหมู่บ้านของพวกเขา และเพื่อเอาชีวิตรอดจากเหตุคับขัน นั่นทำให้วิญญาณของเธอต้องมาสิ่งในร่างของเขา และการร่วมมือกันของนินจาจากขั้วตรงข้ามกันก็ได้เริ่มขึ้นจากจุดนั้น

หากจะพูดถึงในแง่ของเนื้อหาแล้ว นอกจากภาคนี้จะคารวะให้แก่ต้นฉบับแล้ว ยังมีการกล่าวถึงองค์ประกอบในแง่เนื้อหาจากเกมยุคโมเดิร์นลงมาหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งถ้าใครที่เคยเล่นมาก็อาจจะต้องร้องอ๋อกันแน่ ๆ แต่ต่อให้ไม่เคยเล่นก็สามารถเล่นภาคนี้ได้เลยเหมือนกันครับ เพราะเนื้อหาเป็นเอกเทศจบในตัวอยู่แล้ว

โดยส่วนตัวผมมองว่าเนื้อหาของเกมนั้นก็เป็นไปตามสไตล์ของหลาย ๆ เกมในแฟรนไชส์นี่ล่ะครับ คือนำเสนอตรงไปตรงมา ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก ฝูงปีศาจก่อความวุ่นวาย มีปีศาจตัวเบิ้มอยู่เบื้องหลัง ตัวเอกเลยต้องไปหยุดยั้งก่อนจะสายเกินการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมชอบบทสนทนาระหว่างสองตัวเอกที่นิสัยคนละขั้วกัน มันเลยทำให้การคุยตอบโต้ระหว่างสองคนดูมีไดนามิกที่น่าสนใจและมักจะจิกกัดกันเองไปมาบ่อย ๆ ก่อนจะเริ่มเชื่อใจกันมากขึ้นเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เรียกได้ว่ามันก็ชวนให้ติดตามว่าสุดท้ายแล้วเนื้อหาจะจบลงอย่างไรครับ


เกมเพลย์

ในส่วนของระบบการเล่นของภาค Ragebound นี้จะสืบเนื่องมาจากสมัยแฟมิคอมแท้ ๆ เลยนั่นคือเป็นการเล่นผ่านฉากแต่ละฉากที่มักจะมีบอสให้เราสู้ในช่วงจบฉาก (แต่บางฉากก็ไม่มีนะ) โดยที่ระหว่างทางเกมก็จะส่งศัตรูและอุปสรรคจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ นานาเข้ามาขัดขวางเรา

การเคลื่อนไหวของตัวเรานั้นจะมีแอ็กชันพื้นฐานเป็นหลักครับ (ก็สไตล์แฟมิคอมเลย) นั่นคือวิ่ง ฟัน กระโดด กลิ้งหลบ ซึ่งการโจมตีก็จะต่างกันไปเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ว่าตัวเกมจะไม่ได้มีการต่อคอมโบฉัวะฉะแบบเกมปัจจุบัน เพราะนี่จะเป็นเกมที่เน้นการตอบสนองต่ออุปสรรคที่ปรากฏแบบฉับพลัน คุณจะโดดยังไง จะตีตัวไหนก่อน จะหลบไหม ฯลฯ อะไรทำนองนั้น เป็นเกมดีไซน์แบบคลาสสิกแท้ ๆ ครับ ขนาดที่ว่าคุณเดินชนศัตรูแล้วคุณจะบาดเจ็บนั่นล่ะ

ถึงอย่างนั้น เกมก็จะมีการบริหารทรัพยากรของผู้เล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างระบบไฮเปอร์ชาร์จที่หากคุณโจมตีศัตรูหรือวัตถุที่มีออร่าก็จะทำให้การโจมตีของคุณรุนแรงขึ้นมากแบบที่ว่าศัตรูทั่วไปโดนทีเดียวคือดับแน่นอน และถ้าตีบอสก็จะสร้างความเสียหายได้มากกว่าปกติพร้อมทำให้พวกมันมึนงง เพียงแต่ด้วยความที่ไฮเปอร์ชาร์จนี่อยู่ไม่นาน มันก็เลยบีบให้คุณต้องคิดไวทำไวอยู่เหมือนกัน เผลอกดตีมั่วไปก็หายวับไปกับตาครับ

จุดที่ต้องชมเลยก็คือมูฟเมนต์ต่าง ๆ ของตัวเรานั้นคล่องแคล่วและตอบสนองได้ดี เล่นมาแล้วผมไม่เจอปัญหาดีเลย์ประเภทกดแล้วไม่ไปอะไรทำนองนั้นนะ และถึงแม้ว่าแอ็กชันที่เราทำได้จะไม่เยอะแต่เกมก็ออกแบบฉากและจัดวางศัตรูมาให้ต้องใช้มูฟเมนต์ที่มีในการผ่าน ซึ่งก็ออกมาดูเท่ดีในแบบนินจา ถ้าคุณเล่นคล่อง ๆ นี่เกมมันจะดูไหลลื่นมาก ๆ แทบไม่มีจังหวะให้หยุดยืนเลยครับ ยิ่งแอ็กชันอย่างกิโยตินบูสต์ที่ให้ตอกส้นเหยียบศัตรูนี่หลายจุดจะทำให้เท้าคุณไม่แตะพื้นได้เลย (เพราะมันเป็นเหว…)

อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ว่าวิญญาณของคุโมริผสานเข้ากับร่างของเคนจิ ดังนั้นคุโมริก็จะทำหน้าที่เป็นอาวุธระยะไกลด้วยการปามีดสั้นคุไนใส่ศัตรู หรือจะใช้อาวุธพิเศษอื่น ๆ ที่มีอรรถประโยชน์ต่างกัน ซึ่งในเกมนี้การใช้อาวุธเหล่านั้นจะไม่อาศัยการเก็บไอเท็มเพื่อใช้งานเหมือนภาคแฟมิคอม แต่จะลดเกจ Ki ที่อยู่ใต้พลังชีวิตแทนซึ่งเกจนี้ก็จะฟื้นคืนได้จากการโจมตีศัตรูนั่นเอง ก็เลยเป็นการบีบให้คนเล่นต้องเล่นเชิงรุกบ่อย ๆ จะรอสอยจากระยะไกลอย่างเดียวไม่ได้ (ถ้าไม่ใช่ฉากที่เล่นคุโมริน่ะนะ)

นอกจากนั้นแล้วเกมยังมีระบบการใช้ท่าสุดยอดที่เรียกว่า Ragebound Art ที่เหมือนเป็นไม้ตายก้นหีบด้วย แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่อะไรที่ใช้ปุ๊บชนะบอสปั๊บนะครับ เหมือนแค่มีไว้ช่วยซัพพอร์ตยามคับขันเฉย ๆ

ด้วยความที่ตัวเกมภาคนี้ตั้งใจเน้นความคลาสสิก เกมก็เลยจะไม่มีพวกระบบอัปเกรด ไม่มีการตามหาไอเท็มเพิ่มขีดพลังชีวิตหรือเพิ่มเกจ Ki แต่อย่างใด เริ่มเกมหลอดพลังคุณยาวแค่ไหนก็แค่นั้นจนจบเกมครับ ผมคิดว่าข้อดีก็คือคุณไม่ต้องไปตระเวนหาพวกทางลับของซ่อนอะไรมากนัก พวกของสะสมส่วนใหญ่ในเกมนี้มักจะซ่อนแบบมองออกค่อนข้างง่าย ไม่ต้องอาศัยการได้ความสามารถใหม่ ๆ แล้วย้อนกลับมาเก็บ ถ้าคุณเล่นในฉากแล้วเจอของสะสมให้เก็บ แปลว่าคุณเก็บได้แน่ ๆ แค่หาวิธีให้เจอก็พอ

ถึงอย่างนั้น เกมก็มีระบบปรับแต่งเล็กน้อยที่เป็นการใช้แมลงทองมาซื้อเครื่องรางเพื่อความสะดวกในการเล่น แต่มันจะไม่ได้มีผลแบบพลิกเกมอะไรแบบนั้น ไม่ได้ทำให้ตัวละครคุณเก่งขึ้นแบบผิดหูผิดตา การเคลื่อนไหวพื้นฐานของคุณยังคงไม่ต่างจากเดิม และอาวุธของคุโมริเองก็มีให้เลือกใช้ตามสไตล์การเล่นที่คุณถนัด ไม่ได้มีชิ้นไหนที่โกงประเภทว่าพอใช้แล้วละลายบอสได้ในพริบตาอะไรแบบนั้น

สิ่งที่ผมคิดว่าหลายคนอาจจะสงสัยก็คงไม่พ้นเรื่องความยากของเกมครับ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่ารอบแรกแบบนอร์มอลนั้นเกมค่อนข้างใจดีเหมือนกัน มีองค์ประกอบที่ช่วยให้เล่นง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับภาคลาสสิก ที่เห็น ๆ เลยก็คือจุดเช็กพอยต์ที่เกมจะวางไว้เป็นระยะ ๆ ในฉาก หากคุณพลาดไปก็ไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นฉาก แถมเช็กพอยต์นี่ก็ช่วยฟื้นพลังให้คุณได้ด้วย ช่วยให้ไม่เกิดภาระกับคนเล่นมากเกินไป

ถึงอย่างนั้น ถ้าใครอยากได้รสชาติแบบนินจาไกเด็นคลาสสิกแท้ ๆ นี่ผมคิดว่าหลังจบไปหนึ่งรอบแล้ว การเล่นซ้ำในรอบฮาร์ดมันจะตอบโจทย์คุณได้ครับ จำนวนศัตรูที่มากขึ้นยังไม่พอ แต่ทั้งฉากนี่จะเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมที่อันตรายเพิ่มขึ้นแบบเห็นได้ชัดเจนมาก ๆ แม้กระทั่งการสู้บอสบางตัวก็เหมือนกัน จากเดิมที่หลบสบาย ๆ กลายเป็นมีกองไฟมั่ง มีหนามเพิ่มขึ้นมั่ง ทำให้ไม่สามารถใช้มุกเดิม ๆ ได้อีก

ยังไม่นับว่าถ้าใครที่จะเล่นเอาแรงก์ท้าทายตัวเองนี่ เกมยังมีพวกบรรดาเครื่องรางที่ให้ผลในทางลบด้วยครับ บ้างก็ทำให้เช็กพอยต์ไม่ฟื้นพลังชีวิต บ้างก็ทำให้พอตายแล้วต้องเริ่มต้นฉากเท่านั้น แต่เครื่องรางพวกนี้มันจะทำให้แรงก์หลังจบฉากของคุณเพิ่มขึ้นจนสามารถปั่นไปได้ถึง S++ เลย ใครอยากพิสูจน์ฝีมือตัวเองก็ต้องติดเครื่องรางพวกนี้ไว้ได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น ภาค Ragebound นี้ออกแบบมาโดยตั้งใจให้ทุกคนเข้าถึงได้ไม่ว่าคุณจะเป็นสายฮาร์ดคอร์หรือว่าสายแคชชวลก็ตาม ด้วย Accessibility Option ให้เลือกปรับค่าต่าง ๆ ได้ในกรณีที่คิดว่าไม่ผ่านหรือเล่นไม่ไหวจริง ๆ เน้นเป็นมิตรกับทุกคน ถ้าคุณอยากท้าทายตัวเองก็เล่นแบบปกติไป แต่ถ้าใครอยากสบายก็มาปรับตัวเลือกพวกนี้เอา เกมจะไม่มีการมาเหยียดมาแซะคุณแน่นอนครับ


กราฟิก

เกมภาคนี้ออกแบบมาเป็นแบบ 2D โดยนำเสนองานภาพในแบบพิกเซลอาร์ตให้ได้อารมณ์แบบไตรภาคต้นฉบับ แต่โดยรวมนั้นผมว่าตัวเกมนำเสนอออกมาได้สวยงามให้อารมณ์คล้ายภาคต้นฉบับครับ พวกคัตซีนคั่นต่าง ๆ ก็ทำมาในรูปแบบพิกเซลอาร์ตเหมือนกัน ทั้งเกมก็เลยไม่มีส่วนไหนที่มันดูผิดแผกแตกต่าง จุดที่ผมชอบอย่างหนึ่งก็คือว่าเกมนี้มีสกินตัวละครให้เลือกเปลี่ยนเลือกใช้หากคุณทำตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งนอกจากตอนเล่นแล้ว  ภาพตัวละครตอนคุยกัน (ไม่ใช่คัตซีน) ก็มีการวาดใหม่ให้เป็นแบบสกินที่เลือกมาด้วย เรียกได้ว่างานละเอียดใช้ได้อยู่


เสียงในเกม

เกมภาคนี้เป็นเกมที่ไม่มีเสียงพากย์ครับ เน้นความเรโทรแท้ ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวด้วยตัวอักษรเพียว ๆ แบบสมัยแฟมิคอม แต่จุดที่ผมคิดว่าต้องชมก็คือเพลงประกอบที่หลายเพลงนี่รับรองว่าคุณต้องคุ้นหูหากว่าคุณเป็นแฟนของนินจาไกเด็น ซึ่งเพลงพวกนั้นจะได้รับการรีมิกซ์ใหม่ด้วยคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น ไพเราะขึ้น ถ้าคุณชอบเพลงจากต้นฉบับอยู่แล้ว คุณจะชอบเพลงประกอบในภาคนี้เหมือนกันครับ


สรุป

Ninja Gaiden Ragebound เป็นเกมแอ็กชัน 2D ที่เน้นนำเสนอประสบการณ์แบบเรโทรแท้ ๆ ที่อาศัยฝีมือคนเล่นในการผ่านฉากโดยไม่เน้นกลไกการเล่นหรือเทคนิคที่ซับซ้อน มุ่งให้คนเล่นใช้ความเรียบง่ายในการลุยฝ่าอุปสรรคตั้งแต่ต้นจนจบเกมแทน ถ้าคุณคาดหวังระบบการเล่นแบบเกมในยุคปัจจุบัน คุณอาจจะไม่ชอบ แต่ถ้าคุณอยากได้ความท้าทายในแบบคลาสสิกเรโทรล่ะก็ เกมนี้จะตอบโจทย์คุณครับ

The Review

85% เรื่องราวนินจาบทใหม่ ในการล่าปีศาจนรก

Ninja Gaiden Ragebound คือการพัฒนาภาคใหม่ที่หวนคืนสู่ต้นกำเนิดในแบบ 2D ซึ่งคงความคลาสสิกเอาไว้ได้ครบถ้วนทั้งการนำเสนอและรูปแบบการเล่น เหมาะสำหรับคนที่ชอบความท้าทายแต่เกมเมอร์ทั่วไปก็เล่นได้ แต่ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่เกมที่มีระบบอะไรซับซ้อนเหมือนเกมยุคปัจจุบันหรือภาคที่เป็น 3D แต่อย่างใดครับ

85%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์