*ขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นโดยเลือกโหมดภาพแบบ Quality
ผมเชื่อว่าถ้าพูดถึงเกมซามูไรในดวงใจของใครหลายคนในยุคนี้ ชื่อของ Ghost of Tsushima น่าจะเป็นชื่อที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยความโดดเด่นในแง่ของการนำเสนอ ระบบการเล่น และงานศิลป์ที่สวยงามหยดย้อย และในอีกไม่นาน Ghost of Yotei ซึ่งเป็นเกมภาคใหม่ของแฟรนไชส์ก็จะมาให้ทุกท่านได้สัมผัสกันแล้ว ส่วนเกมภาคนี้จะเป็นอย่างไร ผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
เนื้อหา
Ghost of Yotei นี้จะบอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นในช่วงปีค.ศ.1603 ซึ่งเรียกได้ว่ากระโดดข้ามจาก Ghost of Tsushima มาถึงสามร้อยกว่าปีนับแต่เหตุการณ์ที่ทัพมองโกลยกพลบุกเกาะสึชิมะกันเลยทีเดียว และรอบนี้เรื่องราวจะพาผู้เล่นข้ามมาผจญภัยในดินแดนเอโซะซึ่งเป็นเกาะใหญ่แถบภาคเหนือของญี่ปุ่น และปัจจุบันนี้พวกคุณจะรู้จักเกาะแห่งนี้ในชื่อว่าฮอกไกโดนั่นเอง
เรื่องราวในภาคนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงชื่ออัตสึ บุตรสาวแห่งช่างตีดาบเคนโงได้ถูกกลุ่มคนบุกเผาทำลายบ้านของตนเอง ทั้งครอบครัวของเธอโดนสังหารสิ้นทั้งพ่อและแม่ รวมถึงน้องชาย ส่วนเธอก็โดนดาบปักตรึงเอาไว้กับต้นแปะก๊วยประจำบ้านและโดนทิ้งเอาไว้ให้ถูกเพลิงเผาผลาญทั้งเป็น ทว่าเธอก็รอดชีวิตมาได้พร้อมกับความแค้นในใจที่มีต่อเหล่าหกอสูรโยเท (Yotei Six) เธอระหกระเหินไปใช้ชีวิตในแดนใต้ ต่อสู้ฝ่าฟัน และเมื่อเติบใหญ่พอเธอก็กลับมายังดินแดนเอโซะเพื่อหวังทวงแค้นให้กับครอบครัว
เมื่อพูดถึงในแง่ของเรื่องราวในเกมนี้ จะเดินเรื่องด้วยพล็อตแนวหนังล่าล้างแค้นนั่นล่ะครับ คืออัตสึที่เป็นตัวเอกก็จะตระเวนหาเบาะแสของเหล่าอสูรโยเททีละคน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีกลุ่มก้อนมีกองกำลัง มีลูกน้องในแบบของตนเอง และเป้าหมายของอัตสึก็มีแค่อย่างเดียวในช่วงแรกคือการใช้เลือดล้างเลือด แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปเกมก็จะเริ่มหยอดประเด็นเพิ่มเติมเข้ามาให้อัตสึจะต้องคิดทบทวนว่า ชีวิตของตนควรจะมีเป้าหมายมากกว่านี้ไหม และเธอจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้หรือไม่ในเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาเธออยู่รอดมาได้เพราะความแค้นในใจล้วน ๆ
ซึ่งเอาเข้าจริง ผมคิดว่าพล็อตรอบนี้ก็จะมาค่อนข้างเป็นหนังสูตรที่อาจพบเห็นกันได้บ่อย ๆ นั่นล่ะครับ จากเดิมที่ตัวเอกไม่สนใจอะไรเลยนอกจากเป้าหมาย แต่แล้วพอได้เจอผู้คนเจอเหตุการณ์มากมายความคิดก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไป เพียงแต่จังหวะจะโคนในการนำเสนอก็จะหยอดมาแบบกำลังดี ไม่มีเหตุการณ์ประเภทที่ว่าปุบปับเปลี่ยนพฤติกรรมฉับพลันราวตวัดดาบออกจากฝัก เหตุการณ์ในเกมจะดำเนินไปแบบเป็นขั้นเป็นตอนของมันดีอยู่ และมีจุดหักมุม จุดพลิกผันเป็นระยะ ๆ ทั้งที่พอเดาได้และทั้งที่คาดไม่ถึง
ถ้าจะให้ว่าไปแล้ว ถ้าหากว่าจิน ซาไคคือตัวละครที่เป็นซามูไรตามแบบฉบับที่มักพบเห็นในสื่อบันเทิง ที่เคร่งขรึม แน่วแน่ เด็ดเดี่ยว มีความนอบน้อมต่อผู้เป็นมิตรแต่เป็นปีศาจต่อศัตรู เพราะมีผู้สอนสั่งตั้งแต่ยังเล็ก อัตสึก็คือโรนินที่กร้านโลก หยาบกระด้าง และไม่ค่อยสนใจใครเพราะใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบมีชีวิตรอดไปวัน ๆ มาตั้งแต่เด็ก ปฏิสัมพันธ์ของอัตสึร่วมกับบรรดาตัวละคร NPC ในภาคนี้ก็เลยจะให้บรรยากาศคนละแบบ คนละรสชาติกัน
พอพูดถึง NPC แล้ว ผมคิดว่าหลายตัวละครในภาคนี้ก็มีบทบาทที่โดดเด่นอยู่หลายตัว แม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวหลักของอัตสึโดยตรง แต่บทสนทนาของหลายคนก็มีส่วนในการช่วยขัดเกลาอัตสึให้ค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองกันทีละน้อยครับ ถึงอย่างนั้น โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าฉากจบใน Ghost of Tsushima ยังคงดูมีอิมแพคต์มากกว่า และประทับใจกว่าในเชิงการนำเสนอครับ ไม่ใช่ว่าฉากจบใน Ghost of Yotei นั้นไม่ดีนะ เพียงแต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันสร้างความสะเทือนอารมณ์ได้ไม่เท่าภาคก่อนหน้าจริง ๆ
จุดหนึ่งที่จะต้องบอกกันก่อนก็คือ Ghost of Yotei นี้แม้จะมีฉากหลังเป็นญี่ปุ่นในปีค.ศ.1603 ซึ่งเป็นยุคสมัยของรัฐบาลโชกุนโตกุงาวะก็ตาม แต่เกมนี้เลือกนำเสนอโดยเน้นที่จะนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ของตนเป็นหลัก และไม่ได้เน้นความถูกต้องตามประวัติศาสตร์ เพียงแค่หยิบยกองค์ประกอบแวดล้อมหลายอย่างมาผสมกันครับ อาจมีการกล่าวถึงศึกที่เกิดขึ้นจริงตามประวัติศาสตร์ อย่างเช่นศึกเซคิงาฮาระ แต่ก็จะไม่ลงลึกรายละเอียดอะไร ตระกูลที่กล่าวถึงในเกมก็ผสมกันระหว่างตระกูลที่มีจริงกับตระกูลสมมติ แค่ว่าองค์ประกอบที่หยิบยกมาใช้นั้น ก็อาจจะมีการหยิบมาจากประวัติศาสตร์จริง ๆ แต่แค่ไม่ได้ใช้ชื่อตรงกันเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าคุณจะเล่น Ghost of Yotei ให้สนุกก็ต้องมองข้ามประเด็นความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เอาไว้ระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับตอนที่คุณเล่น Ghost of Tsushima ครับ เพราะแม้แต่ NPC ที่คุณพบเจอในไซด์เควสต์บางอย่างก็หยิบเอาวีรกรรม เอาชื่อเสียงของบุคคลจริงมาใช้เลยแค่ไม่ได้ใช้ชื่อที่คุ้นเคยกันตรง ๆ (แถมผิดปีอีกต่างหาก) ซึ่งถ้าคุณซีเรียสกับประเด็นเรื่องความถูกต้องนี้คุณอาจเล่นไม่สนุกครับ แต่ถ้าเล่นโดยคิดว่ากำลังรับชมภาพยนตร์ซามูไรที่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตัวเองเป็นสารคดีล่ะก็ คุณจะเพลินไปกับเนื้อหาของเกมได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
อีกประเด็นหนึ่งที่ทำผมงงพอควร คือการที่ภาคนี้เลือกใช้ตัวเอกเป็นหญิง แต่ไม่มีการนำเสนอที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากตัวเอกชายครับ อัตสึในเกมนี่เจออะไรคือเดินหน้าชนแหลกแบบตัวละครชายเลย สไตล์การสู้ก็เน้นปะทะด้วยแรง ไม่ได้มีอะไรแสดงความปราดเปรียวจนผมสงสัยว่าแล้วแบบนี้จะทำให้เป็นตัวหญิงทำไมเหมือนกัน
เกมเพลย์
สำหรับในส่วนนี้ เพื่อให้สามารถกล่าวถึงแง่มุมต่าง ๆ ได้ครอบคลุม ผมจะขอแยกหัวข้อออกมาเป็นระบบต่อสู้ ระบบลอบเร้น การสำรวจ และการพัฒนาตัวละครนะครับ
ระบบต่อสู้
ระบบต่อสู้ใน Ghost of Yotei ก็ยังคงต่อยอดมาจาก Ghost of Tsushima ครับ นั่นคือการโจมตีของเราจะมีปุ่มตีเบาและปุ่มตีหนัก และค่าพลังจิตวิญญาณที่ถือเป็นหัวใจสำคัญเพราะใช้สำหรับทั้งฟื้นฟูพลังชีวิต และใช้ท่าพิเศษ และก็แน่นอนว่าเกมยังคงมีระบบการแพ้ทางกันอยู่ เพียงแค่ว่าใน Ghost of Tsushima นั้น เราจะรับมือกับศัตรูที่ใช้อาวุธต่างประเภทกันด้วยการสลับท่าร่าง (stance) ที่จะทำให้ศัตรูการ์ดแตกไวขึ้น ส่วนภาคนี้จะตัดท่าร่างออกไป แล้วใช้การสลับอาวุธประเภทอื่น ๆ เข้ารับมือแทน
ยกตัวอย่างเช่น พอคุณเจอศัตรูใช้คาตานะ คุณก็ต้องรับมือด้วยคาตานะแบบเดียวกัน แต่พอเจอศัตรูร่างใหญ่ก็ต้องใช้ดาบโอดาจิ พอเจอศัตรูใช้หอกคุณก็ต้องเปลี่ยนไปใช้ดาบคู่ อะไรทำนองนั้นครับ ซึ่งจุดนี้ถ้าคุณเป็นพวกวิ่งสำรวจไปเรื่อยโดยยังไม่ยอมไปทำเนื้อเรื่อง (โดยเฉพาะพวกเนื้อเรื่องเรียนรู้อาวุธใหม่กับบรรดาเซ็นเซย์) อาจทำให้คุณเหนื่อยเหมือนกัน เพราะบางครั้งคุณอาจเจอกับศัตรูประเภทที่คุณยังไม่มีอาวุธที่จะชนะทางพวกมันได้ และพวกมันมักจะมากันครั้งละ 3-4 คนเป็นอย่างต่ำ ก็เลยจะชุลมุนเอาเรื่องครับ ยังไม่นับว่าพอเล่นไปหลัง ๆ นี่ ศัตรูมันมักจะสลับอาวุธที่ใช้เข้ามาตีเราด้วยนะ มันเลยจะทำให้คุณเองต้องสังเกตแล้วคอยสลับอาวุธสู้อยู่เรื่อย ๆ เผลอไม่ค่อยได้
การโจมตีของศัตรูนั้น ก็จะมีการโจมตีปกติที่เราจะป้องกันได้ หรือถ้าปัดป้องตรงจังหวะก็จะเปิดโอกาสให้เราโจมตีสวนได้รุนแรง แต่มันก็จะมีการโจมตีประเภทที่เป็นชุดต่อเนื่อง ซึ่งเกมก็จะแสดงด้วยประกายแสงสีฟ้า การโจมตีที่ป้องกันไม่ได้และปัดป้องไม่ได้ที่แสดงด้วยประกายแสงสีแดงที่จะต้องหลบอย่างเดียว และมีการโจมตีปลดอาวุธเราที่แสดงด้วยประกายแสงสีเหลือง ที่คุณตอบโต้ได้ด้วยการกดปุ่มโจมตีหนักค้างใส่มันแล้วเราจะปลดอาวุธพวกมันแทน เมื่อผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันในการต่อสู้ คุณเลยต้องหูไวตาไวและคิดไวทำไวพอควร ไม่มีเวลาให้อ้อยอิ่งครับ
ความยากของเกมนั้น ผมคิดว่าก็อยู่ระดับเดียวกันกับภาคก่อนหน้า คือตัวเกมตั้งใจนำเสนอความอันตรายของการต่อสู้ด้วยดาบคาตานะ ความคมกริบของมันคือเฉือนโดนตรงไหนก็อันตราย เพราะฉะนั้นการที่เราพลาดโดนโจมตีสามหรือสี่ครั้งก็ลงไปนอนได้ง่าย ๆ เลย ในทางกลับกันศัตรูส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยต่างกันมาก คือพวกมันโดนไม่กี่ดาบก็จะลงไปนอนแบบเดียวกัน มันเลยทำให้การเผชิญหน้าแต่ละครั้งจะจบกันค่อนข้างไวไม่ยืดเยื้อครับ
พวกอาวุธเสริมที่คุ้นเคยจากภาคก่อนก็ยังมีอยู่ เช่นธนูปกติ ธนูใหญ่ มีดสั้น ระเบิดควัน ฯลฯ อะไรพวกนั้น ซึ่งเกมก็ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรในการใช้งาน คุณจะอยากดวลทดสอบฝีมือดาบเพียว ๆ ก็ทำได้ หรือจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะก็ไม่มีใครมาว่าหรือมาเหยียดหยามอะไรคุณเหมือนกัน
ถ้าจะมีอะไรที่ติดใจผมนิดหน่อย ซึ่งก็เป็นประเด็นเดียวกันกับภาคแรกครับ อย่างที่ผมบอกเรื่องการต่อสู้ไปตะกี้ว่าโดนทีคือเจ็บหนักทั้งเราทั้งศัตรู แต่มันก็จะมีข้อยกเว้นเวลาคุณสู้กับบอสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบอสตามเนื้อเรื่องหรือเป็นพวกอาชญากรมีค่าหัวมากมายนี่ล่ะครับ จากเดิมที่ดาบคุณรุนแรงฟันตรงไหนควรจะสาหัส แต่พอฟันบอสปั๊บจากดาบคม ๆ มันทำแดเมจเหมือนเอากิ่งไม้ไปหวดแทน แต่เวลาคุณโดนนี่ยังเจ็บหนักเหมือนเดิม ทุกการต่อสู้กับบอสมันเลยจะเป็นว่าคุณต้องหวดบอสยี่สิบสามสิบดาบเป็นอย่างต่ำ และไม่เปิดโอกาสให้คุณพลาดเท่าไรนัก ยิ่งพวกบอสช่วงท้ายเกมหรือบอสบางตัวในไซด์เควสต์นี่คือถึกประหนึ่งสวมเกราะฟูลอาเมอร์มาสู้เราแต่ใส่สกินชุดผ้าซามูไรเลย
ซึ่งเอาเข้าจริงผมก็พอเข้าใจการออกแบบเกมในลักษณะนี้เชิงการเล่นนะ เพราะไม่งั้นเกมมันก็ง่ายเกินไป แต่ก็ยังแอบขัดใจนิด ๆ อยู่ดีนั่นล่ะครับ
ระบบลอบเร้น
ระบบลอบเร้นของเกมนี้ยังคงมีลักษณะไม่ต่างจาก Ghost of Tsushima มากครับ คือเน้นความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน การซุ่มส่วนใหญ่จะอาศัยซ่อนตัวในพงหญ้าสูง หลบหลังสิ่งกีดขวาง หรือไม่ก็ใช้ประโยชน์พื้นที่ต่างระดับให้เป็นประโยชน์ และเอไอพวกศัตรูก็จะไม่ได้มีการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก เวลามันเจอศพพวกเดียวกันเองก็จะตื่นตัวกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปเดินยามกันต่อ พวกมันจะไม่มีปฏิสัมพันธ์อย่างการลากศพเพื่อนไปเก็บหรืออะไรทำนองนั้น (และแน่นอนว่าเราก็ลากศพศัตรูไม่ได้เหมือนกัน) เป็นการเล่นลอบเร้นแบบง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเยอะเพราะทุกการเผชิญหน้าจะจบที่คุณต้องกำจัดศัตรูให้หมดอยู่ดี
ความหลากหลายในแง่การเล่นลอบเร้นจะอยู่ที่พวกอุปกรณ์และอาวุธสำรองที่มีให้ใช้เป็นหลักครับ เช่นการปาระเบิดบังตาให้พวกมันตรวจจับไม่เห็น การใช้ธนูสอยจากระยะไกล หรือปาระเบิดเพลิงใส่ตอนพวกมันอยู่เป็นกลุ่มในทีเดียว อะไรแบบนั้น หรือเมื่อคุณเล่นไปหลัง ๆ จะซุ่มในพงหญ้าแล้วใช้เคียวโซ่ปากระชากพวกมันมาในพงหญ้าแล้วค่อยเชือดเพื่อเลี่ยงการตรวจจับก็ได้
ระบบลอบเร้นในเกมนี้ผมมองว่าไม่ใช่สิ่งที่เป็นแกนหลักของเกม และประโยชน์ส่วนใหญ่จะมีไว้เป็นการทอนกำลังศัตรูลงไปและสุดท้ายเกมก็จะเน้นการเผชิญหน้ากันตรง ๆ อยู่ดีในภารกิจส่วนใหญ่ของเกมครับ หลายครั้งที่เกมอาจจะมีบทสนทนาระหว่างตัวละครว่าควรซุ่ม ควรแอบจัดการนะ แต่ถ้าคุณโผล่พรวดหวดไม่ยั้ง เกมก็ไม่มีบทลงโทษอะไรคุณเหมือนกันแค่บทสนทนาอาจจะต่างกันไปนิดหน่อย
ดังนั้น ถ้าคุณหวังว่าเกมจะมีระบบลอบเร้นเฉียบ ๆ รายละเอียดปลีกย่อยเยอะแยะและลองเล่นอะไรได้มากมาย เกมนี้อาจจะให้คุณไม่ได้แบบเกมลอบเร้นเพียว ๆ แต่ถามว่ามันใช้การได้ไหมมันก็ใช้ได้อยู่ครับ
การสำรวจ
อย่างที่หลายคนน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าเกมนี้ยังคงเป็นแนวโอเพนเวิลด์เหมือนภาคก่อนหน้า และก็จะมีสถานที่ต่าง ๆ ให้พบเจอ มีจุดให้สำรวจ มีกิจกรรมให้คุณได้ค้นหาอย่างที่คุ้นเคย เช่น พวกบ่อน้ำร้อนเพิ่มขีดพลังชีวิต แท่นฟันไม้ไผ่เพิ่มค่าจิตวิญญาณ หรือไม่ก็เสื้อผ้าเอยหน้ากากเอย กระทั่งปลอกดาบใหม่เอยพวกนั้น
ถ้าจะให้พูดในแง่ของความกว้างนั้น Ghost of Yotei ยังคงใช้รูปแบบการแบ่งซอยพื้นที่ออกจากกันเป็นแอเรียครับ ไม่ได้ต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งเกม ดังนั้นการข้ามไปพื้นที่อื่นก็จะเป็นในลักษณะของการสำรวจประตูเชื่อมแล้วเกมก็จะพาคุณไปโหลดในแมปใหม่ ไม่ได้ให้คุณควบม้ายาวต่อเนื่องจากเหนือสุดใต้อะไรแบบนั้น ดังนั้นแต่ละพื้นที่มันก็เลยจะมีกิจกรรมของตนเองชัดเจน พวกไซด์เควสต์ที่ได้เจอก็ไม่มีประเภทที่จะให้คุณต้องไล่กวดไล่ล่าข้ามพื้นที่กันไป ทุกอย่างมันจะเริ่มและจบในพื้นที่ตัวเองหมด
สิ่งอำนวยความสะดวกในแง่ของการสำรวจของเกมนี้ยังคงคล้ายเดิมครับ บางครั้งเวลาคุณตระเวนไปตามท้องทุ่ง คุณอาจได้พบกับนกสีทองที่บินนำทางและมันจะพาคุณไปเจอกับสถานที่น่าสนใจที่มักช่วยให้ชีวิตคุณสบายขึ้น (อย่างเช่นบ่อน้ำร้อน) หรือคุณอาจซื้อแผนที่ระบุตำแหน่งมาก็ได้ โดยเกมก็จะกำหนดให้คุณต้องนำเอาแผนที่ที่ซื้อมาทาบลงตำแหน่งที่ถูกต้องบนแผนที่ของคุณก่อนเพื่อระบุตำแหน่งของสิ่งนั้น ๆ หรือแม้แต่สายลมนำทางที่บอกใบ้เส้นทางให้คุณไปพบเจออะไรใหม่ ๆ ก็ยังอยู่ในภาคนี้เหมือนกัน
ระบบการปีนป่ายของเกมนี้ก็เน้นความเรียบง่ายเหมือนกัน พวกบ้านเรือนหลังคาอะไรพวกนี้มันจะมีจุดที่คุณเกาะคุณปีนได้แบบง่าย ๆ เช่นกระโดดเกาะขอบหลังคา ปีนบันได โดดใช้ตะขอเกี่ยว อะไรทำนองนั้น บรรดาหน้าผาที่ปีนได้ก็จะมีการกำหนดจุดเกาะเป็นแง่งหินที่ชัดเจน คุณจะไม่สามารถปีนป่ายอาคารได้โดยการเหนี่ยวขอบผนัง หรือปีนหอสังเกตการณ์โดยเกาะคานไม้แบบไม่ต้องอาศัยบันไดเหมือนเกมอื่นครับ ดังนั้น เวลาที่คุณไปสำรวจศาลเจ้าเพื่อเก็บเครื่องรางแต่ละที่นั้น อุปสรรคที่เกมใส่มาในแง่แพลตฟอร์มิงก็มักจะเป็นเส้นทางตายตัวที่คุณอาจจะต้องอาศัยความเป๊ะในการโดด ในการเกาะ ในการเหวี่ยงตัว และจะไม่มีเส้นทางหลากหลายให้เลือกไปครับ ทุกอย่างมันจะเป็นเส้นตรงหมด คุณแค่ต้องหาเส้นทางให้เจอแค่นั้นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่าในแง่ของเนื้อหาที่มีให้สำรวจในเกมนี้นั้นเรียกได้ว่ามีอะไรให้พบเจออิ่มอยู่เหมือนกันครับ เพราะแม้ว่าคุณจะซื้อแผนที่ระบุจุดน่าสนใจมาทั้งหมดแล้ว คุณก็จะยังพบอะไรไม่ครบอยู่ดีหลายครั้งยังต้องอาศัยไปสำรวจ ณ สถานที่นั้น ๆ เองถึงจะได้เจอ ไม่ว่าจะเป็นไซด์เควสต์เอย อุปกรณ์ตกแต่งเอย มันเลยกระตุ้นให้คุณต้องออกวิ่งในฉากเพื่อค้นหาเอง ไม่ใช่ว่าแค่ซื้อแผนที่ทุกจุดแล้วจะจบ
การพัฒนาตัวละคร
สำหรับในภาคนี้นั้น อัตสึก็มีสายสกิลที่สามารถอัปเกรดเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าแต้มอัปความสามารถจะได้จากการตระเวนสำรวจศาลเจ้าขนาดเล็กที่มีกระจัดกระจายไปทั่วเกม บ้างก็อยู่ในค่ายศัตรูที่คุณต้องไปปลดแอก บ้างก็อยู่ตามท้องทุ่ง เมื่อคุณคำนับศาลเจ้าเหล่านี้คุณก็จะได้แต้มมาอัปสกิลหนึ่งแต้ม ซึ่งมันก็เป็นการออกแบบเกมที่กระตุ้นให้คุณต้องออกสำรวจเพื่อหาแต้มสกิลนั่นล่ะครับ
องค์ประกอบหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้ก็คือหมาป่าที่จะปรากฏตัวออกมาช่วยเราต่อสู้แบบสุ่ม ซึ่งคุณสามารถอัปสกิลสายนี้ได้ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ความต่างจากสกิลส่วนตัวของอัตสึก็คือคุณจะต้องตระเวนตามหารังหมาป่าและทำการช่วยเหลือพวกมันให้สำเร็จแทน พอเคลียร์แต่ละจุดก็จะได้แต้มในการอัปสกิลสายนี้มาเป็นการแยกแต้มกันชัดเจน และใครเป็นเกมเมอร์สายสมบูรณ์แบบนี่ ยังไงคุณก็อัปได้ครบหมดครับถ้าขยันสำรวจ
อีกประเด็นหนึ่งในแง่การพัฒนาตัวละครก็ไม่พ้นเครื่องรางมากมายหลายชิ้นที่คุณติดตั้งเพื่อเพิ่มความสามารถให้อัตสึได้ โดยเครื่องรางบางชิ้นจะมาพร้อมกับระบบแชลเลนจ์ในตัวมันเองแบบกลาย ๆ ครับ อาทิเช่น การจัดการศัตรูโดยการปัดป้องแล้วฟันสวนให้ได้ตามจำนวนที่กำหนด เป็นต้น ที่เมื่อคุณทำได้สำเร็จก็จะเป็นการอัปเกรดเครื่องรางชิ้นนั้น ๆ มันเลยเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้คุณได้ลองเล่นหลาย ๆ แบบ ลองใช้อุปกรณ์หลาย ๆ ชิ้นถ้าอยากจะเพิ่มความแข็งแกร่ง เหมือนเป็นกุศโลบายกลาย ๆ ของทีมงานให้คนเล่นลองใช้งานระบบ หรือใช้ของให้มันครบ ๆ นั่นล่ะครับ
เครื่องรางบางชิ้นนี่ทำให้ธนูยาวคุณกลายเป็นปืนสไนเปอร์ติดตามหัวเป้าหมายอัตโนมัติเลยยังได้ พอผสมกับความสามารถประจำเกราะแต่ละชุดแล้วก็เลยทำให้ผู้เล่นปั้นบิลด์ได้หลากหลายอยู่
ถ้าจะให้กล่าวไปแล้ว ผมคิดว่าเกมนี้เป็นการออกแบบเกมสไตล์โอเพนเวิลด์ที่ทีมงานใส่ระบบหลายอย่างลงมาเพื่อกระตุ้นให้คนเล่นต้องออกเดินทางสำรวจหรือลองวิธีการเล่นหลายอย่างแบบเนียน ๆ ไม่ว่าจะเพื่อหาของตกแต่ง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง หรือการหากิจกรรมต่าง ๆ ก็ตาม
กราฟิกและการนำเสนอ
ถ้าคุณเคยประทับใจกับกราฟิกและงานศิลป์ของ Ghost of Tsushima มาก่อน ใน Ghost of Yotei นี้คุณก็จะยังคงประทับใจไม่แพ้กันครับ ตลอดการเล่นนี่ทุกที่ที่ไปสามารถจับภาพสกรีนช็อตเอามาทำเป็นวอลเปเปอร์ได้หมด แม้แต่แสงเงาในเกมก็ทำออกมาได้น่าประทับใจ เมื่อคุณควบม้าในทุ่งหญ้ายามกลางคืนที่มีแสงจันทร์ส่องนี่มันสวยมากจริง ๆ ยิ่งตอนขี่ม้าผ่านทุ่งแล้วใบไม้ใบหญ้าที่ปลิวตามแรงลมพร้อมฝูงนกที่โบยบินออกมาจากพงหญ้านี่คืองานศิลป์จริง ๆ
พวกฉากคัตซีนสำคัญนี่ก็นำเสนอออกมาได้ดี การเล่นมุมกล้องจะให้อารมณ์เหมือนดูภาพยนตร์ซามูไรครับ การซูมดาบ ซูมสีหน้าตัวละครก่อนดวล ใครชอบความเท่ในแบบซามูไรก็น่าจะชอบการเล่นมุมกล้องของเกมนี้กัน
ยังไม่นับว่าพวกจังหวะจะโคนการใส่เหตุการณ์ของไซด์เควสต์ปรัมปราส่วนใหญ่ก็จะใช้มุกคล้าย ๆ กับพวกหนังผีจากญี่ปุ่นด้วยนะ ทั้งการสร้างบรรยากาศเอย น้ำเสียงของนักเล่าเรื่องเอย เก็บอารมณ์ความรู้สึกมาได้ครบถ้วนดีใช้ได้
แต่…ในทางกลับกัน พอเป็นฉากทั่ว ๆ ไปที่ไม่ใช่คัตซีนสำคัญนั้น ตัวละครจะมีการเคลื่อนไหวกันจำกัดมาก พวก NPC ก็จะไม่ได้มีพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างอย่างที่ควรจะเป็น แม้คุณจะโจมตีพวกเขาไปก็จะไม่มีผล ไม่มีออกอาการอะไร หรือเวลามีฝนตกในฉาก ใครที่นั่งก่อไฟย่างปลาก็ย่างกลางสายฝนมันดื้อ ๆ แบบนั้นนั่นล่ะครับ แม้แต่ตอนเราไปช่วย NPC ที่โดนรังควานนี่ มีครั้งหนึ่งที่พอเริ่มสู้พี่แกก็วิ่งหนีออกไปนอกวงที่คนกำลังฟาดดาบกันโป๊งเป๊ง แต่พักหนึ่งพี่แกก็วิ่งผ่ากลางวงมาแบบหน้าตาเฉยเลยเพื่อกลับมายืนตำแหน่งเริ่มต้นแบบงง ๆ
เรียกได้ว่างานศิลป์ของเกมนี้นั้นสุดยอดมากและนำเสนอออกมาได้แบบไร้ที่ติ แต่ในแง่ความละเอียดด้านพฤติกรรมและปฏิสัมพันธ์ของตัวละครกับสภาพแวดล้อมนี่อาจจะยังต้องเพิ่มเติมอีกเยอะอยู่
งานเสียง
สำหรับงานเสียงในภาคนี้ผมคิดว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้ภาคแรกครับ เพลงนี่ช่วยขับอารมณ์ในสถานการณ์ได้ดีมาก บางเพลงสื่อความรู้สึกความเศร้าโศก บางเพลงก็ให้บรรยากาศความเหงาและโดดเดี่ยว แต่จุดที่ผมชอบก็คือเกมนี้อัตสึจะมีเครื่องดนตรีที่พกติดตัวเป็นเครื่องสายซามิเซ็ง ดังนั้นพวกเพลงสายลมนำทางก็จะเป็นการดีดซามิเซ็งนี่ล่ะครับ (กรณีเดียวกับที่จินเป่าขลุ่ย) และเพลงประกอบในฉากสำคัญเอย ฉากสู้เอยก็จะมีการใช้ซามิเซ็งเป็นเครื่องดนตรีประกอบเสมอ เรียกได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ประจำภาคที่ชัดเจนมาก
บั๊ก
ในตอนที่ผมรีวิวนี้ ผมเจอบั๊กเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นมากนัก แต่ก็อาจสร้างความน่ารำคาญเล็กน้อยอย่างการเล่นมินิเกมเซนิฮาจิกิที่เป็นการดีดเหรียญกินเงินครับ ปกติเกมจะต้องแสดงเหรียญบนโต๊ะให้เห็นหมดเพื่อที่จะได้เล็งว่าจะดีดเหรียญไหนในมุมใด แต่ผมดันเจอบั๊กที่เหรียญหายไปหมดเลย จึงต้องอาศัยความจำและการเดาเพื่อดีดแทนนี่ล่ะครับ ก็หวังว่าตอนเกมออกจะมีแพตช์แก้บั๊กตัวนี้ออกมา
การแปลภาษาไทย
คุณภาพงานแปลภาษาไทยของเกมนี้ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเกมแปลไทยหลาย ๆ เกมจาก SIE ครับ เท่าที่เล่นมาผมไม่เจอการแปลผิดบริบท หรือการใช้สรรพนามเพี้ยนอะไร แต่อาจมีจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกชื่อตัวละครที่ขึ้นแสดงผลเป็นภาษาอังกฤษ แต่โดยรวมคือแปลได้ดีมากนั่นล่ะครับ
สรุป
Ghost of Yotei ถือเป็นเกมภาคใหม่ของแฟรนไชส์ที่ยังคงทำออกมาได้มีคุณภาพระดับเดียวกับภาคก่อนหน้า เพียงแค่ว่ายังไม่ได้มีองค์ประกอบด้านไหนที่รู้สึกว่าเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดครับ ถึงอย่างนั้น ถ้าคุณเคยสนุกและประทับใจไปกับ Ghost of Tsushima คุณก็จะประทับใจภาคนี้เช่นเดียวกัน




















