*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ubisoft Entertainment มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PS5
ผมเชื่อว่าถ้าพูดถึง Rainbow Six ในปัจจุบัน คนก็คงจะคุ้นเคยกับเกมภาคที่โด่งดังที่สุดในปัจจุบันก็คือ Rainbow Six Siege ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองจากเกม FPS เน้นกลยุทธ์เล่นเคลียร์แต่ละภารกิจ มาเป็นแนว PVP ที่เน้นความสามารถเฉพาะตัวของเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษแต่ละคนที่มาจากทุกสารทิศ ทุกประเทศ ทุกภูมิภาค และทุกหน่วยงานแทน ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มากด้วยเอกลักษณ์ทั้งในแง่รูปลักษณ์และความสามารถที่มี
และในคราวนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ได้กลับมาอีกครั้งในภาคสปินออฟที่ครั้งนี้พวกเขาจะต้องรับมือกับมหันตภัยที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประสบมานั่นคือปรสิตไคมีร่า ภัยร้ายจากต่างดาว และที่สำคัญคือตัวเกมได้รับการแปลไทยทั้งเกมด้วยนะ
เนื้อเรื่อง
สำหรับเนื้อหาของเกมก็อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ นั่นคือทีม Rainbow ซึ่งรวมเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษระดับหัวกะทิเข้าไว้ด้วยกัน จะต้องหันมารับมือกับภัยคุกคามจากต่างดาวอย่างปรสิตไคมีร่าแทนที่จะเป็นบรรดาผู้ก่อการร้ายทั่ว ๆ ไปแทน และในคราวนี้พวกเขาก็ได้ตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมารับมือในชื่อว่า Rainbow Exogenous Analysis and Containment Team หรือย่อสั้นว่า REACT นั่นเอง
ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงแล้ว เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ไม่ค่อยเป็นสิ่งสำคัญเท่าไหร่นัก เหมือนเป็นแค่สิ่งปูพื้นให้รู้ว่าทำไมต้องมาปฏิบัติการกันที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับคนที่สนใจเกี่ยวกับ lore เบื้องหลังของเกมก็สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จาก codex ที่จะปลดออกมาเมื่อคุณเล่นแล้วแรงค์ในเกมสูงขึ้น และบางทีการเคลียร์งานวิจัย (study) ที่เป็นเงื่อนไขพิเศษของแต่ละแมปแล้วก็จะมีอะไรให้อ่านเพิ่มเติมถึงความก้าวหน้าในการศึกษาพวกปรสิตของ REACT ว่ากำลังเจออะไรและจะรับมืออย่างไร เป็นต้น รวมถึงบางเหตุการณ์สำคัญก็จะมีมูวี่คัตซีนให้ชมประปราย
โดยรวมก็คือ หากคุณไม่สนใจเนื้อเรื่องเลยก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ถ้าอยากอ่านเพื่อซึมซับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีให้อ่านอย่างมากมายเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเนื้อหาก็ไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญนักครับ (ก็เกมสไตล์สู้กับผู้ติดเชื้อน่ะนะ)
เกมเพลย์
สำหรับ Rainbow Six Extraction (“R6E”) นี้ ตัวเกมยังคงเป็นแนว First Person Shooter ที่เน้นกลยุทธ์คล้ายกับตัวเกมต้นฉบับอย่าง Rainbow Six Siege (R6S”) แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือคราวนี้จะไม่ใช่ PVP ที่ให้ผู้เล่นมาแบ่งฝ่ายสู้กันเองแล้ว แต่จะเป็นการรวมทีมกับผู้เล่นอื่นจำนวนสามคนแล้วเข้าปะทะกับศัตรูจำนวนมากในแบบ PVE แทน
สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันแต่แรกเริ่มเลยก็คือ แม้ว่าหน้าเกมจะเป็น FPS ไล่ยิงฝูงตัวประหลาดคล้ายกับเกมอื่น ๆ ที่มีในท้องตลาดก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ว่าผู้เล่นจะต้องเข้าเล่นเกมนี้ด้วย mindset ที่ต่างออกไปจากเกมอื่น ๆ ที่มี พูดง่าย ๆ คือคุณจะไม่สามารถอ้างอิงแนวเกมที่เน้นการ run & gun เหมือนอย่าง Left 4 Dead หรือ Back 4 Blood ที่สามารถวิ่งไปยิงไปด้วยความเร็วสูงปะทะศัตรูนับสิบนับร้อยได้
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม R6E ก็ยังคงนำเอาองค์ประกอบของ R6S มาใส่ นั่นคือผู้เล่นจะต้องใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ที่มีในการเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปปฏิบัติภารกิจต่อ ดังนั้นการเลือกเจ้าหน้าที่แต่ละคนมาใช้งานก็จะมีสกิลที่มีประโยชน์ใช้สอยต่างกันไป
รูปแบบของเกมนี้คือการเน้นเล่นฉากเดิมที่มีซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง เพื่อเคลียร์ภารกิจที่เกมกำหนด โดยที่ในแต่ละ map นั้นจะมีโครงสร้างเหมือนเดิมในทุกครั้งที่เข้าไปเล่น แต่สิ่งที่ต่างไปก็จะเป็นภารกิจที่เกมจะกำหนดให้ต้องทำในแต่ละสามฉากย่อยซึ่งจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่คุณเข้าไปเล่นในฉากนั้น ๆ ที่หากคุณทำได้สำเร็จครบหมดก็จะได้ EXP มาในตอนจบฉาก
โดยที่เจ้า EXP ที่ว่าก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ของคุณเก่งขึ้น หรือทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นในองค์รวมเพราะระดับเทคโนโลยีที่สูงขึ้นจนทำให้มีอุปกรณ์ใหม่ ๆ ใช้สอยเพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่ว่าหากคุณเล่นในฉากย่อยใดแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างมันตึงมือเกินไปก็สามารถขอถอนกำลังได้ ณ จุดที่เกมกำหนดซึ่งก็จะทำให้ EXP ลดหลั่นลงไปตามสภาพ
หัวใจสำคัญของเกมนี้ในแต่ละฉาก หลัก ๆ ก็คือการพยายามลอบเร้นไปทำภารกิจที่เกมกำหนดให้ทำอย่างเงียบเชียบ หากลอบยิงศัตรูได้ก็ลอบยิงซะ หากย่องไปลอบสังหารได้ก็ทำซะ เพราะถ้าหากเมื่อใดที่พวกมันรู้ตัวชีวิตคุณก็จะลำบากจากการที่พวกมันโผล่ออกมาจากรังไม่หยุดหย่อนทันที (เว้นแต่คุณจะไปทยอยทำลายรังก่อนหน้านี้)
ที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่แต่ละคนในเกมนี้ ต่างก็ตัวบางกันราวกับเป็นกระดาษเปียกน้ำชนิดที่ว่าแม้จะโดนปรสิตชนิดเบสิคสุด ๆ วิ่งเข้ามาหวดแค่ราวสองสามทีก็อาจลงไปนอนเล่นกับพื้นได้เลย และแม้ว่าเพื่อนเราจะช่วยชุบขึ้นมาได้ก็ตาม แต่ว่าตลอดการบุกในแต่ละครั้งคุณจะล้มได้แค่ทีเดียว นั่นแปลว่าคุณมีจังหวะพลาดได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ถ้าหากว่าล้มครั้งที่สองก็จะต้องออกจากเกมไปโดยปริยาย ตัวละครของคุณจะอยู่ในสภาพหยุดนิ่งโดนโฟมพิเศษคลุมตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ (แต่ดูสภาพเหมือนกลายเป็นกุ้งทอดเทมปุระ) และทำได้แค่เพียงรอให้เพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่เหลือแบกร่างคุณไปยังพ็อดหลบหนี
แต่ถ้าเพื่อนเองยังเอาตัวไม่รอดล่ะก็ ตัวละครเจ้าหน้าที่ที่คุณเลือกไปเล่นจะอยู่ในสภาวะ MIA หรือ Missing In Action ที่คุณจะเลือกมาใช้งานไม่ได้จนกว่าจะเลือกตัวละครอื่นไปทำการช่วยเหลือออกมา มิหนำซ้ำเกมยังกำหนดให้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวเพื่อฟื้นฟูร่างกายในการบุกแต่ละครั้งด้วย นั่นแปลว่าหากคุณมีตัวไหนที่เล่นจนคล่องมือแล้วก็อาจจะเลือกมาใช้ซ้ำทันทีเลยไม่ได้ เสมือนว่าเกมบีบให้คุณต้องวนเล่นทุกตัวไปโดยปริยายนั่นเอง
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ผมคิดว่าตัวเกมมีความยากที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ด้วยความที่ศัตรูค่อนข้าง aggressive ในตอนที่มันรู้ตัว บวกกับความนิ่มของตัวละครที่เราเล่นมันทำให้เกมค่อนข้างต้องเน้นลอบเร้นเป็นหลัก ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ยิงบู๊ถล่มได้สักเท่าไร (แต่พวกเซียน ๆ ที่เล่นกันเป็น Left 4 Dead ก็อาจมีนะ แต่ยอมรับว่าผมเล่นแบบนั้นไม่ไหว…) ถ้าเล่นช่วงแรก ๆ อาจจะต้องปรับตัวกันสักระยะหนึ่ง แต่พอเริ่มชินแล้วก็จะเกิดความคล่องตัวไปเองนั่นล่ะครับ
แม้ว่าเกมจะมีฉากและภารกิจที่แตกต่างกันให้ทำอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว gameplay loop ก็จะเป็นไปในลักษณะนี้นั่นแหละครับ คือเลือกเจ้าหน้าที่ ลงเล่นในฉาก จบฉาก เปลี่ยนตัวละครอื่นไปลงในฉากเดิม (หรือจะเปลี่ยนฉากก็แล้วแต่) วนไปแบบนี้ ด้วยเกมเพลย์มันก็สนุกอยู่ในระดับหนึ่งหากว่าคุณได้ทีมที่เล่นเข้าขาและเป็นงานกัน แต่ว่าถึงจุดหนึ่งก็จะรู้สึกว่ามันซ้ำเดิมไปหน่อยเหมือนกัน ยิ่งถ้าคุณเป็นสาย completionist ล่ะก็รับรองว่าได้วนเล่นแต่ละฉากกันจนเบื่อไปเลยล่ะ
กราฟิก
ในส่วนของกราฟิกก็ถือได้ว่าดูดีในระดับที่ควรจะเป็น ตัวเกมยังคงแสดงจุดเด่นจาก R6S มาได้ดีนั่นคือสภาพแวดล้อมในบางจุดที่สามารถทำลายได้แบบละเอียด ซึ่งก็ช่วยให้เราสามารถเล็งยิงจุดอ่อนของศัตรูผ่านกำแพงได้ง่ายดาย หรือบรรดาพื้นผิวที่โดนปกคลุมด้วย Sprawl ซึ่งเป็นเมือกดำที่ทำให้เราเคลื่อนที่ได้ช้าลงก็ทำเท็กซ์เจอร์ออกมาดูเป็นเมือกน่าแขยงใช้ได้อยู่ ที่สำคัญคือแม้ในจังหวะที่ป่าช้าแตกจนต้องยิงปะทะกันตูมตาม ตัวเกมก็ไม่มีอาการเฟรมตกหรือหน่วงให้เห็นครับ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเกมที่เน้นการเล่นออนไลน์กับเพื่อนแบบนี้
เสียงเพลงประกอบ
เพลงประกอบของ R6E นี่ โดยรวม ๆ ให้ความรู้สึกที่ผสมผสานกันค่อนข้างดีระหว่างบรรยากาศแบบหนังไฮเทคที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ล้ำสมัย แต่ขณะเดียวกันก็แฝงทำนองที่ลึกลับเหมือนตอนเผชิญบางสิ่งที่เหนือความเข้าใจของเราซึ่งเป็นบรรยากาศในลักษณะของเกมสยองขวัญครับ บางทำนองก็ให้ความรู้สึกเหงาเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก ลองฟังตัวอย่าง OST ในเกมได้จากช่องทางการของ Ubisoft ด้านล่างได้เลย
สรุป
Rainbow Six Extraction เป็นเกมสปินออฟที่คุณภาพโดยรวมอยู่ในขั้นดี แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เบื่ออะไรง่ายเกมนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ เพราะเกมเน้นให้คุณเล่นฉากเดิมซ้ำหลายรอบเพื่อปลดล็อคสิ่งต่าง ๆ ในเกมที่จะอำนวยความสะดวกให้คุณในการเล่นต่อ ๆ ไป ถึงอย่างนั้นถ้าหากคุณมีเพื่อนฝูงที่สามารถเกาะกลุ่มเล่นด้วยกันได้ยาว ๆ ล่ะก็ เกมนี้ก็จะมอบโมเมนต์ตื่นเต้นหรือไม่ก็เฮฮาบ้าบอให้คุณได้แน่ ๆ ครับ