*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Bandai Namco Entertainment Asia มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
Valkyrie Elysium คือเกมใหม่ล่าสุดของแฟรนไชส์ Valkyrie Profile ที่เริ่มต้นมาจากภาคแรกบน PlayStation 1 ในชื่อว่า Valkyrie Profile ในปีค.ศ.1999 สำหรับประเทศญี่ปุ่น และค.ศ.2000 สำหรับสหรัฐอเมริกา โดยที่ตัวเกมมีระบบต่อสู้เป็นสไตล์เทิร์นเบสในแบบฉบับของ JRPG ซึ่งอ้างอิงองค์ประกอบของตำนานนอร์สแห่งแถบยุโรปเหนือมาเยอะมาก โดยหลัก ๆ ก็คือเหตุการณ์แร็กนาร็อก (Ragnarok) นั่นเอง
ตัวเกมได้รับความนิยมที่สูงพอควรจนเกิดเป็นเกมภาคใหม่ออกมาเป็นระยะ ๆ ที่บางภาคก็เปลี่ยนแนวไปเป็นเกม Tactical RPG แทน และบางภาคก็เป็นเกมแนวกาชาบนมือถือ จนมาถึงภาคล่าสุดอย่าง Valkyrie Elysium ที่ตัวเกมตัดสินใจเปลี่ยนแนวตัวเองไปเลยกลายเป็นแอ็กชันเต็มตัวที่มีองค์ประกอบของ RPG มาเสริมเล็กน้อย ผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับว่าตัวเกมเป็นอย่างไรหลังจากที่ได้สัมผัสแล้ว
เนื้อเรื่อง
เช่นเดียวกันกับเกมภาคอื่น ๆ ในแฟรนไชส์ Valkyrie Profile ครับที่เนื้อหาและเซ็ตติ้งของเกมนี้อ้างอิงมาจากตำนานนอร์ส ซึ่งใน Valkyrie Elysium นี้ตัวเกมจะเริ่มต้นขึ้นที่เหตุการณ์หลังการต่อสู้ระหว่างเหล่าเทพแอสการ์ด (Asgard) ที่นำโดยโอดิน (Odin) ที่เปิดศึกกับเหล่าอันเดด (Undead) ที่นำโดยหมาป่ายักษ์เฟนรีร์ (Fenrir)
ซึ่งผลจากการศึกในครั้งนั้นได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไปทั่วโลก สรรพชีวิตมากมายล้วนดับสูญไป จนกระทั่งวันหนึ่งจุดสิ้นสุดการต่อสู้ก็มาถึง เมื่อโอดินใช้หอกคู่มือกุงนีร์ (Gungnir) แทงทะลุกะโหลกของเฟนรีร์ แต่ในขณะเดียวกันคมเขี้ยวของเฟนรีร์ก็ขย้ำเข้าที่คอหอยโอดินจนหลอดลมฉีกขาด ทั้งคู่ไม่อาจต่อสู้ได้อีกเป็นอันสิ้นสุดของศึกในครั้งนั้น
แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ยังคงดำเนินต่อไป เสียงแตรยาลลาร์ฮอร์น (Gjallarhorn) ดังขึ้นไปทั่วเป็นเหมือนสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าบัดนี้ แร็กนาร็อก (Ragnarok) ใกล้เข้ามาทุกขณะดั่งคำทำนายที่เล่าขานถึงการดับสูญของสรรพสิ่ง และเพื่อเป็นการต่อต้านโชคชะตานี้โอดินจึงได้ทำการสร้างเทพประเภทใหม่ขึ้นมานั่นคือวัลคิรี (Valkyrie) เพื่อทำหน้าที่ลงไปยังแดนมนุษย์มิดการ์ด (Midgard) และชำระล้างเหล่าวิญญาณที่หลงทางทั้งหลายบนโลกเพื่อทำการฟื้นฟูทุกสิ่ง
ถ้าจะพูดในแง่เนื้อหาของเกมนี้ก็ถือว่าเปิดมาได้ค่อนข้างน่าสนใจครับ เพราะเดิมทีตำนานนอร์สก็จะกล่าวถึงวัลคิรีว่ามีหน้าที่ในการนำพาวิญญาณนักรบผู้วายชนม์ (ซึ่งเรียกว่าเอ็นเฮร์ยาหรือ Einherjar) ไปสู่วัลฮัลลา (Valhalla) เพื่อช่วยเหลือเทพแอสการ์ดในการเตรียมรับมือกับมหาศึกสุดท้ายในแร็กนาร็อก เพียงแต่ว่าเกมนี้ปรับเปลี่ยนหน้าที่ของวัลคิรีไปเป็นอย่างอื่นแทน มันก็เลยชวนติดตามหน่อย ๆ ว่าเนื้อหาจะดำเนินไปในทิศทางไหน
ซึ่งพอได้ลองเล่นไปจนจบ ผมก็รู้สึกว่าเนื้อหามันค่อนข้างเบาบาง คาดเดาได้ง่าย แม้แต่จุดหักมุมก็ไม่ได้ชวนให้ตกใจอะไรขนาดนั้นครับ ด้วยความที่เกมก็หย่อน ๆ อะไรลงมาใบ้เกือบจะตลอดเวลา แล้วด้วยเหตุที่ว่าตัวเกมเลือกจะดำเนินเหตุการณ์ภายหลังจากที่ศึกระหว่างเทพแอสการ์ดกับพวกอันเดดมันทำให้การทำลายล้างเกิดผลวงกว้างไปแล้ว เกมเลยไม่มีองค์ประกอบของสิ่งที่เป็นเมืองให้เราเดินสำรวจหรือเดินคุยกับบรรดา NPC ได้เลย
นั่นเพราะทุกที่ที่ไปมีแค่การไปดูซากปรักหักพังเท่านั้นเอง มีแค่จุดเดียวเล็ก ๆ ที่เกือบจะเป็นเมืองในความหมายของเกม JRPG แต่มันก็เล็กมากแถมไม่มีอะไรให้ทำ เพราะการคุยกับ NPC คือแต่ละคนหลบอยู่ในบ้านกันหมดไม่มีกระทั่งโมเดลให้เห็น ส่วนคนที่ยืนอยู่นอกบ้านก็มาทำหน้าที่เป็นคนแจกเควสต์เฉย ๆ
นอกจากไม่มีเมืองให้วิ่งเล่นแล้ว บนแอสการ์ดก็แห้งแล้งไม่แพ้กันเท่าไรครับ พื้นที่บนแอสการ์ดที่เราสามารถวิ่งเล่นได้ก็มีแค่น้อยนิด ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดให้เราคุยกับเอ็นเฮร์ยาร์ของเรา, มีลานให้ฝึกฝนการต่อสู้, คุยกับโอดินเพื่อดำเนินเรื่องต่อ แล้วก็มีจุดให้เลือกภารกิจที่จะเล่นต่อ คือในแง่ของความเป็นฮับนั้น มันก็ทำหน้าที่สมเป็นฮับนั่นแหละ แต่ก็แอบหวังว่าจะมีอะไรให้ทำมากกว่านี้อีกสักหน่อยเหมือนกัน
หากจะให้กล่าวถึงบรรดาตัวละคร อันนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่คงต้องพูดถึงครับ ตัวละครเกมนี้หากให้นับจริง ๆ ก็มีไม่ถึงสิบ เพราะแค่เอ็นเฮร์ยาร์ของเราก็สี่เข้าไปแล้ว ส่วน NPC สำคัญที่พบเห็นและปรากฏตัวในคัตซีนก็มีสี่เหมือนกัน แต่ขนาดตัวละครน้อยแบบนี้ หลายตัวยังไม่มีการบอกที่มาที่ไปหรือแรงจูงใจอะไรมากนัก แม้ว่าจะได้สกรีนไทม์ค่อนข้างเยอะก็เถอะ
บางทีมีการเฉลยในฉากแฟลชแบ็คที่ทำภาพเบลอ ๆ ให้ดูเหมือนว่าเป็นสภาวะสับสนมึนงง ซึ่งถามว่ามันพอทำให้รู้อะไรเยอะขึ้นไหม ก็ได้บ้างแต่ในแง่การเล่าเรื่องก็ยังรู้สึกว่ามันขาดไปพอควรอยู่ดี ยิ่งเหล่าเอ็นเฮร์ยาร์นี่จะไปรู้ที่มาที่ไปแต่ละคนได้ก็ต้องทำเควสต์ย่อยของแต่ละคน แล้วไปกดฟังเอาเองในหน้าจอเมนูครับ
ผมรู้สึกว่าตัวเกมมีการใช้วัตถุดิบจากตำนานนอร์สได้ไม่คุ้มค่าครับ ยิ่งถ้าเทียบกับภาคแรกสุดอย่าง Valkyrie Profile นี่จะเห็นได้ชัดเจนเลย เพราะใน Valkyrie Elysium นี่แทบไม่มีการพูดถึงเทพองค์อื่น ๆ แห่งแอสการ์ด ที่ร้ายกว่านั้นคือจากเก้าภพแห่งตำนานนอร์สกลับหดเหลือเพียงแค่สาม นั่นคือแอสการ์ด มิดการ์ด และนิฟเฟิลเฮม (Niflheim) แค่นั้น
ไม่มีการพูดถึงเหล่ายักษ์น้ำแข็งแห่งโยทุนเฮม (Jotunheim) ไม่มีการพูดถึงเหล่ายักษ์อัคคีแห่งมุสเปลเฮม (Muspelheim) แม้แต่ยอร์มุนกันดร์ (Jormungandr) ก็ไม่มี ทั้งที่พวกที่กล่าวมาล้วนแต่มีส่วนในการก่อให้เกิดแร็คนาร็อคทั้งหมด กระทั่งพล็อตในส่วนของการตามหาของวิเศษสี่ชิ้นในเกม ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะใส่มาทำไมเหมือนกันเพราะไม่ได้นำมาใช้หรือกล่าวถึงในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องครับ เล่นจนจบผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงตำนานนอร์สก็ได้นะ
เกมเพลย์
อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อตอนต้นว่าเกมนี้เปลี่ยนระบบกลายเป็นแอ็กชันที่มีองค์ประกอบของ RPG ตัวเกมจึงมีความรวดเร็วในลักษณะของเกมแอ็กชันไฮสปีดที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นหรือเคยเล่นกันมา ซึ่งรวม ๆ ก็จะพอเห็นได้ว่าเป็นการหยิบยกเอาระบบหลายอย่างหลายเกมมาผสม ๆ กันนั่นล่ะครับ
รูปแบบการต่อสู้หลัก ๆ ของเกมนี้คือการใช้อาวุธประชิดที่มี ไม่ว่าจะดาบ หอก ดาบใหญ่ ฯลฯ ที่รูปแบบการโจมตีจะเป็นปุ่มโจมตีเบา และโจมตีหนัก โดยท่าโจมตีจะเปลี่ยนไปเมื่อเรากดโจมตีเบาเป็นชุดแล้วกดโจมตีหนักปิดฉาก คล้ายพวกซีรีส์อย่าง Dynasty Warriors แต่ว่าเราจะมีแอ็กชันที่หลากหลายขึ้นเมื่อทำการอัปเกรดอาวุธชิ้นนั้น ๆ มากขึ้นไป
และยังมีการอัปเกรดตัวละครวัลคิรีของเราที่จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งขึ้นไปอีกไม่ว่าจะเป็นเพิ่มพลังโจมตีพลังป้องกัน เพิ่มท่า/แอ็กชันที่ทำได้ในสไตล์เกมแอ็กชันมาตรฐานทั่วไปนั่นล่ะครับ และตัวเกมจะให้เราติดตั้งอาวุธได้ครั้งละ 2 ชิ้นไว้สลับสับเปลี่ยนไปมาในระหว่างเล่นทันที รวมถึงติดตั้งรูนเพื่อเสริมความสามารถบางอย่างให้กับอาวุธ
นอกจากท่าต่อสู้ปกติแล้ว เกมยังมีบรรดาเวทต่าง ๆ ที่เรียกว่า Divine Arts ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นหลายธาตุที่ศัตรูจะมีการแพ้ทางต่าง ๆ กันไป เมื่อเราใช้ธาตุที่มันแพ้จนเกจเต็ม ศัตรูก็จะอยู่ในสภาวะ crushed ที่จะชะงักให้เราตีฟรี ๆ แต่ว่าระบบสำคัญอย่างนึงของเกมนี้ก็คือการเรียกใช้บรรดาเอ็นเฮร์ยาร์ หรือก็คือวิญญาณนักรบผู้วายชนม์ที่เราใช้เกจ Soul เพื่อเรียกมาช่วยสู้ได้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็จะเป็นการเปลี่ยนธาตุอาวุธของวัลคิรีไปด้วยเช่นกัน ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้าเราใช้งานอาวุธธาตุใดแล้ว การใช้งาน Divine Arts ในธาตุเดียวกันก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความรุนแรงไปตามสูตรนั่นล่ะครับ
ตัวเกมเองก็มีกิมมิคอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Soul Chain ซึ่งจะทำให้เราดึงตัวเข้าไปหาศัตรูได้ทันทีเพื่อเข้าประชิดแล้วทำคอมโบต่อเนื่อง หรือไม่ก็ใช้สำหรับห้อยโหนตัวเองขึ้นไปในจุดที่กระโดดไม่ถึง นอกจากนั้นตัวเกมเองก็ยังมีกิมมิคอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือการใช้ความสามารถของเหล่าเอ็นเฮร์ยาร์เพื่อทำการเปิดทางไปต่อครับ หรือบางทีอาจจะเป็นทางลับที่ซุกซ่อนไอเท็มไว้ก็เป็นได้
ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา มันเป็นส่วนผสมที่สามารถเกิดเป็นเกมแอ็กชันที่ดีเกมนึงได้ ถ้าหากว่าไม่ประสบกับปัญหาหลาย ๆ ประการ
ถ้าจะให้นิยามการดีไซน์ตัวเกม รวมถึงรูปแบบการเล่นนั้น ผมคงต้องบอกว่ามันคล้ายกับการเล่นเกมสมัย PS2 และ PS3 ในบางแง่มุมนั่นล่ะครับ คือหลายองค์ประกอบดูไม่ค่อยสะดวกมากนักเท่าไร ถึงผมจะยินดีมากที่ระบบแผนที่ในเกมนี้มีบอกตำแหน่งของพวก collectibles บางส่วนให้แบบชัดเจนไม่ต้องเสียเวลาวิ่งไล่หาเองก็เถอะ
สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงเลยก็คือการเล่นแต่ละฉากของเกมนี้ ดีไซน์มาในรูปแบบของภารกิจ ซึ่งคุณจะต้องเลือกจากวัลฮัลลาที่เป็นฮับหลักของเกม ในตอนที่คุณลงเล่นภารกิจหลักนั้นคุณอาจจะได้สำรวจจุดที่เป็นการเปิดไซด์เควสต์ต่าง ๆ ของเกม แต่! สิ่งที่ประหลาดคือคุณยังไม่สามารถทำไซด์เควสต์ที่เปิดไว้ได้ในทันที เพราะคุณจะต้องรอจนกว่าคุณเคลียร์ภารกิจที่เล่นอยู่ ณ ปัจจุบัน กลับไปยังวัลฮัลลา แล้วค่อยมาเลือกไซด์เควสต์ที่เปิดไว้อีกที
ซึ่งบรรดาฉากที่จะมีให้เล่นในพวกไซด์เควสต์ที่ว่าก็จะให้คุณได้วิ่งในฉากแผนที่เดียวกันกับภารกิจหลักนั่นล่ะครับ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่สามารถออกแบบให้คนเล่นสามารถทำเควสต์ได้เลยในทันทีที่เจอ แต่อาจจะเพราะว่าเกมอยากจะแยกการคิดแรงค์หลังจบฉากแต่ละฉากให้ชัดเจนก็เป็นได้ สิ่งที่น่าเสียดายคือความหลากหลายของเควสต์นั้นไม่มี เพราะไม่ว่าจะเป็นไซด์เควสต์อะไรเป้าหมายเราก็มีแค่ลงไปกำจัดศัตรูให้หมดเท่านั้นเอง
ต่อมาที่ต้องพูดถึงก็คือในเรื่องของเกมเพลย์ครับ อย่างแรกเลยก็คือการโจมตี การเคลื่อนไหว และการตอบสนองต่าง ๆ นั้นทำได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่มันยังไม่สุดถ้าเทียบกับเกมแอ็กชันความเร็วสูงเกมอื่น ๆ ในท้องตลาด คือถ้าจะให้อธิบายเพิ่มเติม ตัวเกมนี้มีระบบเหมือนที่เกมแอ็กชันหลายเกมพึงมี ไม่ว่าจะการแพรี่ การหลบหลีกในจังหวะฉิวเฉียด การเคาน์เตอร์การโจมตี หรือการชาร์จโจมตีเพื่อปล่อยท่าชุดใหญ่ เป็นต้น ทว่าสิ่งที่เกมนี้ขาดไปก็คือระบบแคนเซิลการโจมตีนี่ล่ะครับ
ผมคิดว่าหลายคนน่าจะเคยชินกับเกมประเภทแอ็กชันไฮสปีดหลาย ๆ เกม ไม่ว่าจะ Devil May Cry เอย Bayonetta เอย หรือหลาย ๆ เกมในประเภทเดียวกัน ที่เราสามารถกดโจมตีกระหน่ำรัวได้แทบจะตลอดเวลา แต่เมื่อถึงจังหวะที่ต้องหลบ เราก็สามารถกดหลบ หรือกระโดดหรืออะไรพวกนั้นเพื่อแคนเซิลท่าโจมตีได้ทันที
แต่กับ Valkyrie Elysium นี้มันทำแบบนั้นไม่ได้ครับ มันเลยจะมีหลายจังหวะมาก ๆ ที่เมื่อคุณโจมตีด้วยท่าที่วัลคิรีจะออกการโจมตีต่อเนื่อง คุณต้องรอให้โมชันการโจมตีจบลงก่อนถึงจะสามารถแดชหลบได้ เพราะงั้นเวลาคุณตีบอสที่มักจะไม่กระเทือนเวลาโดนโจมตีแล้วบอสมันใช้ท่าประเภทการ์ดไม่ได้เนี่ย ต่อให้คุณเห็นบอสง้างมาแต่ไกลก็เถอะ ถ้าคุณยังแทงไม่ครบจำนวนครั้งคุณก็ได้แต่ก้มหน้าแล้วยอมโดนโจมตีไป
อีกหนึ่งจุดที่ต้องพูดถึงก็คือความติด ๆ ขัด ๆ ในการเคลื่อนไหวครับ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจงงหน่อยว่า สองวรรคก่อนผมยังพูดว่าการเคลื่อนไหวของเกมมันยังทำได้ดีระดับหนึ่งเลยนี่หว่า ทำไมตอนนี้มาพูดอีกอย่าง ต้องอธิบายเพิ่มเติมก่อนครับว่าเกมนี้ แม้คุณจะกดปุ่มแดชหลบการโจมตี แต่คุณไม่สามารถที่จะแดชผ่านร่างของศัตรูหรือแม้แต่พรรคพวกอย่างเอ็นเฮร์ยาร์ได้
ตอนที่ผมเล่นมันเลยมักจะเกิดจังหวะนรกบ่อยครั้งที่พอเราติดมุมแล้วจะแดชหลบออกตามสัญชาตญาณมันดันไปไหนไม่ได้ เพราะติดอะไรสักอย่างนี่ล่ะครับ การแดชติดนี่จะยิ่งก่อปัญหาชัดเจนมากเวลาสู้กับพวกบอสตัวใหญ่ ๆ เพราะช่วงตีกันนัว ๆ หลายครั้งที่ตัวเราจะไปอยู่ใต้ลำตัวบอส สิ่งที่เกิดขึ้นคือบางทีผมก็มองไม่เห็นว่าตัวเราอยู่ไหน แต่พอจะแดชทิ้งระยะก็แดชไม่ออกเพราะมันติดตัวบอส
นอกจากความติดขัดที่ว่าแล้ว มุมกล้องก็เป็นอีกหนึ่งศัตรูตัวฉกาจในหลาย ๆ รอบเพราะเมื่อใดที่เราโจมตีศัตรู (หรือโดนศัตรูโจมตี) ใกล้กำแพงหรือใกล้มุมทีไร มุมกล้องก็จะเข้ามุมอับชนิดมองไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ่อยครั้ง พอคอมโบกับการแดชติดตัวศัตรูนี่มันยิ่งเป็นจังหวะนรกคูณสองเข้าไปอีก ยังไม่นับว่าระบบล็อกเป้าของเกมนี้ที่ใช้อนาล็อกขวาในการเปลี่ยนเป้าหมายอีกนะ พอจังหวะศัตรูมาเยอะ ๆ ทีคุณอยากจะหมุนมุมกล้อง มันก็จะกลายเป็นการเปลี่ยนเป้าแทน ต้องมาคอยกดคลายล็อกเป้าแล้วค่อยหมุนตลอด กลายเป็นวุ่นวายเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นครับ
การออกแบบระบบเกมอีกอย่างหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไปทำไมก็เป็นระบบ proficiency หรือความเชี่ยวชาญอาวุธนี่ล่ะครับ คือใน Valkyrie Elysium นี้ อาวุธทุกชิ้นที่เรามีจะเริ่มต้นที่ระดับความเชี่ยวชาญ G ซึ่งเมื่อพอเริ่มใช้เยอะขึ้นค่าความเชี่ยวชาญก็จะขยับขึ้นไปทีละระดับจนไปสุดที่ SSS กันเลย
แต่ถามว่าระดับความเชี่ยวชาญมันส่งผลอะไรไหม? นอกจากการเก็บให้ถึงระดับ C เพื่อใช้ปลดล็อกสกิลที่สามารถเรียนรู้ได้ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ คุณไม่ได้ตีแรงขึ้นเมื่ออาวุธถึง SSS ไม่ได้ตีเร็วขึ้น เกจไม่ได้เพิ่มไวขึ้น ไม่ส่งผลอะไรเลย ไม่รู้ว่าจะทำให้เก็บได้ถึง SSS ไปทำไมทั้งที่แค่ C ก็ปลดล็อกสกิลที่เกี่ยวข้องได้หมดแล้ว เหมือนใส่มาเพื่อยืดเวลาเล่นเฉย ๆ (และก็เป็นเป้าหมายสำหรับคนต้องการเก็บโทรฟี่หรืออชีฟเมนต์)
อ้อ อีกระบบหนึ่งที่ใส่แล้วก็ชวนงง ๆ คือระบบ CP ของเกมครับ เวลาที่คุณปลดล็อกสกิลอะไรมาใช้ใหม่ ๆ มันจะมีค่า CP ของสกิลนั้น ๆ อยู่ ซึ่งถ้าค่ารวม CP ของคุณเกินกว่าเพดานที่เกมกำหนด คุณจะกดออกจากเมนูไม่ได้จนกว่าจะไปปิดบางสกิลให้ค่าไม่เกิน ประเด็นคือ ถ้าคุณเล่นในระดับ Normal นั้นค่าเพดาน CP คือ 500
ซึ่ง…เมื่อคุณเล่นปลดล็อกทุกสกิลมาแล้ว มันก็จะได้ 500 พอดีครับ ไม่มีความจำเป็นต้องเลือกปิดหรือปรับอะไรทั้งสิ้น จะมีที่ต้องเลือกหน่อยก็คือ Hard ที่เพดานจะลดลงมาเหลือแค่ 430 ซึ่งก็อีกนั่นล่ะ ถ้าถึงจุดนั้นคุณแค่ปิดสกิล Soul Burst Level 3 ไปอันเดียวก็ใช้ที่เหลือทั้งหมดได้แล้วเหมือนกัน เป็นระบบงง ๆ ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม สู้ไม่ต้องใส่เลยก็ได้
โดยรวม ๆ ก็คือระบบเกมนั้นทำออกมาโอเคระดับหนึ่งครับ แต่ความหงุดหงิดรำคาญใจจะบังเกิดทันทีเมื่อคุณเล่นไปช่วงหลัง ๆ ที่ศัตรูโผล่กันมาเป็นชุดและยังสลับธาตุมาให้เราต้องมาคอยเปลี่ยนธาตุโจมตี เพราะทุกอย่างมันจะวุ่นวายขายปลาช่อนไปหมด พอบวกกับเอฟเฟคต์ที่มันลายตาท่วมจอ เลยเกิดเป็นความบันเทิงที่มันไม่บันเทิงนี่ล่ะครับเพราะในบางครั้งก็ดูแทบไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนหน้าจอบ้าง
กราฟิก
ในส่วนของกราฟิก ก็ต้องถือว่าทำออกมาได้สวยดีตามสภาพครับ โมเดลตัวละครในฉากคัตซีนนี่ถือว่าปั้นออกมาได้ใกล้เคียงกับงานออกแบบที่เป็นภาพวาดเลย ไม่ว่าจะเป็นตัววัลคิรี่เอง หรือแม้แต่บรรดาเอ็นเฮร์ยาร์ทุกคน พวกสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ก็ทำออกมาได้ดูดีครับ แต่ว่ามันดูขาดเอกลักษณ์ในแบบที่ควรจะเป็น เพราะไม่ว่าคุณจะลงไปวิ่งเล่นในฉากแบบไหนแคว้นที่ต่างกันยังไง สภาพบ้านเมืองมันจะอยู่ในลักษณะของซากปรักหักพังไปหมด ทุกอย่างมันเลยออกมาดูคล้าย ๆ กัน ถึงแม้ว่าถ้าเราลงรายละเอียดแล้วจะรู้ได้ว่าสถาปัตยกรรมมันต่างกันก็เถอะ
เอฟเฟคต์เวทต่าง ๆ นั้นทำออกมาได้ดีและสวยงามอลังการใช้ได้ครับ เวทเกมนี้ดูรุนแรงสมกับที่ควรจะเป็นมาก แต่ก็อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ครับ คือเอฟเฟคต์มันลายตาท่วมจอสุด ๆ ถ้าคุณกดเรียกเอ็นเฮร์ยาร์ออกมาใช้สกิลพร้อมกันนี่คือคุณจะดูไม่ออกแน่ ๆ ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อีกหนึ่งจุดที่อยากขอพูดถึงในแง่การนำเสนอของเกมก็คือ โมเดลเกมนี้มันเหมือนผสมระหว่างการทำกราฟิกสมจริงกับการ์ตูนครับ เพราะตัวละครหรือวัตถุจะเหมือนมีการลงเส้นขอบดำหนา ๆ ที่ผมไม่รู้ว่าเค้าเรียกกันทางเทคนิคว่าอะไร แต่มันทำให้โมเดลตัวละครหรือวัตถุตัดกับฉากแบบค่อนข้างเด่นชัดทั้งเกม ซึ่งเท่าที่สังเกตก็มักจะเห็นชัดแค่ในฉากตอนเล่นนะ ฉากคัตซีนเท่าที่สังเกตเหมือนจะไม่มี หรือถึงมีก็น้อยมาก
เพลงประกอบและเสียงพากย์
เพลงประกอบเกมนี้ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการไม่หยอกครับ โดยเฉพาะพวกฉากตอนเดินในโถงวัลฮัลลา มันให้บรรยากาศสมเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าวิญญาณนักรบผู้วายชนม์แห่งนอร์สได้ดี ส่วนธีมหลักของเกมก็ฟังดูให้ความรู้สึกถึงความลึกลับ รับรู้ได้ถึงการเริ่มต้นหรือโหมโรงของบางสิ่งที่มันยิ่งใหญ่ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น พอเป็นการต่อสู้ในฉากต่าง ๆ ทำนองเพลงก็เร่งเร้าชวนฮึกเหิมได้ดีเลย
ในด้านของเสียงพากย์นี่ นักพากย์แต่ละคนทำหน้าที่ออกมาได้ดีครับ เลือกเสียงที่เข้ากับหน้าตาคาแรคเตอร์แต่ละคน ไม่มีจังหวะไหนที่รู้สึกว่าโอเวอร์แอ็กติ้งเกินไป และไม่มีจังหวะไหนที่เนือยเกินไป น้ำเสียงของตัวละครบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในฉากนั้น ๆ ได้ดีและถ่ายทอดออกมาได้สมกับจังหวะของเนื้อหาและบทสนทนาที่พูดกัน
สรุป
Valkyrie Elysium ดูจะเป็นการกลับมาอีกครั้งของเกมในแฟรนไชส์ Valkyrie Profile ที่พอเล่นได้ แต่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากในแง่ของเนื้อเรื่องและตัวเกมเพลย์ที่มีหลายจุดชวนให้คิดว่า “เอ๊ จะใส่มาทำไม” บ่อยเหมือนกัน ถ้าคุณเป็นแฟนของแฟรนไชส์ Valkyrie Profile และคิดถึง ก็ลองหามาเล่นดูกันได้ครับ
แต่ต้องเตือนก่อนว่ามันไม่เหมือนภาคเก่า ๆ ที่คุณคุ้นเคยนะ ที่สำคัญคือภาคนี้ไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับภาคเก่า ๆ เลยเหมือนเป็นการรีบูตกลาย ๆ ถ้าหวังจะได้พบตัวละครเก่า ๆ ก็จะไม่ได้เจอครับ ส่วนใครที่ชอบแนวแอ็กชันเป็นทุนเดิม ขอให้ลองอ่านรีวิวนี้แล้วตัดสินใจดูหรือไปลองหาคลิปเกมเพลย์อื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจก็จะดีครับ