Games Reviews

Like a Dragon Gaiden The Man Who Erased His Name – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Like a Dragon Gaiden The Man Who Erased His Name – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณ Sega Corporation สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

สำหรับภาคล่าสุดในแฟรนไชส์ Yakuza หรือที่รีแบรนด์กลายมาเป็น Like a Dragon ครั้งนี้ มีชื่อภาคว่า Like a Dragon Gaiden The Man Who Erased His Name เพราะเดิมทีทีมงานตั้งใจให้ตัวเกมมีสถานะเป็นแค่ DLC แต่แล้วก็ขยายมาจนเป็นเกมเต็มแทน ซึ่งครั้งนี้เกมจะกลับไปใช้ระบบเกมสไตล์ Beat’em Up และไม่ใช่ RPG ครับ แล้วตัวเกมจะเป็นอย่างไร ผมจะมาชี้แจงแถลงไขให้ได้ทราบกัน


เนื้อเรื่อง

สำหรับเรื่องราวในครั้งนี้จะดำเนินเรื่องขนานไปกับเรื่องราวของคาสึกะ อิจิบังผู้เป็นตัวเอกในภาค Yakuza: Like a Dragon และให้เราได้เล่นเป็นคิริว คาซึมะที่แกล้งตายไปในตอนจบของ Yakuza 6 แล้วใช้ชีวิตเป็นสายลับให้กับกลุ่มไดโดจินั่นเอง ซึ่งเนื้อหาในภาคนี้ก็จะบอกเล่าว่าเหตุการณ์เป็นมายังไง ทำไมคิริวถึงได้ไปปรากฏตัวในเหตุการณ์สำคัญและได้พบกับอิจิบังเป็นครั้งแรกครับ

แม้ว่าตัวเกมจะมีสถานะเป็นการเชื่อมและเติมเต็มเนื้อหาใน Yakuza: Like a Dragon ก็ตาม แต่ผมคิดว่าการผูกเรื่องราวและประเด็นการนำเสนอแง่มุมของการปะทะกันระหว่าง “ความเปลี่ยนแปลง” กับ “การยึดติดขนบ” นั้นทำออกมาได้สนุกและชวนติดตาม และสื่อสารผ่านคำพูดและการกระทำของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องออกมาได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเก่าที่คุ้นเคยกันดี หรือเป็นตัวละครใหม่ที่ปรากฏตัวในภาคนี้ แต่ละคนนั้นมีบทบาทที่โดดเด่นน่าจดจำครับ ไม่มีตัวละครไหนที่รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของเรื่องราว แรงจูงใจในการกระทำของแต่ละคนก็สมเหตุสมผลดีไม่รู้สึกว่ามันพิลึกหรือว่าตลก

ประเด็นที่ผมบอกไปข้างต้นเรื่องการปะทะกันของความเปลี่ยนแปลงและการยึดติดขนบนั้น สื่อสารออกมาในเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างลึกซึ้งผ่านการต่อสู้กับบอสใหญ่ของเกม คิวบู๊ต่าง ๆ ที่นำเสนอนั้นนอกจากจะดุดันแล้ว ยังเต็มไปด้วยความหมายมากมายที่หากคุณได้เล่นก็อยากให้ลองไปสังเกตกันดูครับ แต่หมัดเด็ดของเกมจริง ๆ ก็คือฉากจบที่หากว่าคุณเป็นคนที่ติดตามแฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ต้น ฉากจบมันจะสะเทือนอารมณ์คุณสุด ๆ แน่นอน


เกมเพลย์

สำหรับรูปแบบการเล่นในภาคนี้ก็อย่างที่เกริ่นไปแต่แรกว่ากลับมาเกมแนว Beat’em Up ให้คิริวได้เดินหน้าทุบเหล่ากุ๊ยและอันธพาลทั้งหลายแบบไม่เกรงกลัวใคร คุณจะวาดลวดลายวิชาการต่อสู้ได้แบบไร้เทียมทานชนิดที่ว่าแม้จะสู้หนึ่งต่อร้อยก็ไม่กังวล

ถ้าคุณเคยเล่นแฟรนไชส์นี้ในภาคก่อน ๆ รวมถึงเกมสปินออฟอย่าง Judgment หรือ Lost Judgment ก็จะคุ้นเคยกับระบบต่อสู้ในระดับหนึ่งแล้วครับ และด้วยความที่เกมภาคนี้พัฒนาหลังจาก Lost Judgment ที่ปรับปรุงระบบต่อสู้มามากมายนับตั้งแต่ภาค Yakuza 6 มา องค์ประกอบหลายอย่างจึงต่อยอดกันมาเรื่อย ๆ อย่างครบถ้วน อิมแพกต์ในการต่อสู้นั้นหนักหน่วง การเคลื่อนไหวไหลลื่น และท่วงท่าต่าง ๆ ที่มีให้ใช้งานก็มากมายจนอิสระในการต่อสู้นั้นเยอะมาก (แต่ก็ต้องอัปเกรดสกิลกันก่อนล่ะนะ)

ทีเด็ดในแง่ของระบบต่อสู้ภาคนี้ก็คือการที่คิริวสามารถสลับสไตล์การต่อสู้ได้สองแบบด้วยกันนี่ล่ะครับ สไตล์ยากูซ่าก็จะเป็นอะไรที่คุ้นเคยกันดีจาก Yakuza 6 และ Yakuza Kiwami 2 ซึ่งเน้นความดุดันรุนแรงและถึกทน ในขณะที่สไตล์เอเจนต์จะเป็นสไตล์ใหม่เอี่ยมที่เน้นความรวดเร็วและเทคนิคและมาพร้อมกับอุปกรณ์เยอะแยะมากมายสไตล์สายลับ แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในตอนเล่นพรีวิว ว่าการใช้อุปกรณ์สายลับในเกมนี้มันก็เปรียบเสมือนการใช้ท่าโจมตี จึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องการต้องไปหาเก็บไอเท็มอะไรแบบนั้น กดใช้ตามสถานการณ์ได้เลย

แน่นอนว่าการที่คุณสามารถสลับสไตล์ไปมาได้มันเลยเปิดโอกาสให้ได้ลองอะไรเยอะมาก และใครที่ชอบการงัดศัตรูเปรี้ยงลอยขึ้นฟ้าแล้วระดมต่อยต่อคอมโบในแบบ Lost Judgment ก็ทำได้ในภาคนี้เช่นกัน ใครที่เล่นเชี่ยว ๆ ก็จะสามารถวาดลวดลายออกมาได้เวอร์วังไปเลย คล้ายกำลังเล่น Tekken แบบกลาย ๆ ครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเกมนี้นำเสนอออกมาได้ดีมากก็คือการเล่นคิริวมันทำให้รู้สึกว่า “ไร้เทียมทาน” ครับ เพราะทุกการโจมตีของคิริวนั้น “หนัก” และ “แรง” มาก แม้วิธีการเล่นจะเป็น Beat’em Up แบบเดียวกับตอนที่เล่นเป็นยางามิหรือไคโตะใน Lost Judgment ก็ตาม แต่ทีมงานก็ใส่องค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาที่ทำให้รู้สึกได้เลยว่าแตกต่าง เพราะจะยางามิหรือไคโตะก็ไม่สามารถต่อยคนเปรี้ยงกระเด็นทีเป็นสิบเมตรได้แบบคิริวแน่นอนครับ

นอกจากระบบต่อสู้ที่สนุกยอดเยี่ยมแล้ว องค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยเสริมความเด่นของระบบต่อสู้ก็ไม่พ้นลานประลองในเกมครับ ผมเชื่อว่าหลายคนก็น่าจะคุ้นเคยกับลานประลองของซีรีส์นี้กันดี แต่ว่านอกเหนือจากการสู้กับนักสู้เก่ง ๆ และวัดฝีมือกันแบบตัวต่อตัว หรือโชว์ความเก่งกาจในการสู้กับคู่ต่อสู้พร้อมกันหลายคน รวมถึงศึกตะลุมบอนแล้ว ในภาคนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณได้ลองเล่นเป็นตัวละครอื่น ๆ ในทีมของคุณด้วยเหมือนกัน แม้ว่ามูฟเซ็ตและความสามารถของแต่ละคนจะไม่ได้เยอะเท่ากับคิริว แต่มันก็เพิ่มความสดใหม่ให้กับเกมได้เยอะเลยครับ ถ้าใครอยากลองเล่นเป็นตัวละครอื่น ๆ ในซีรีส์ ก็ต้องเล่นภาคนี้นี่ล่ะ

ระบบการอัปเกรดสกิลในภาคนี้ผมคิดว่าแอบมีความคล้ายกับภาค Yakuza 0 นิด ๆ ตรงที่ว่าเน้นการใช้เงินอัปเกรดรวมถึงใช้ Akame Points แทนที่จะเป็นค่าประสบการณ์เหมือนที่คุ้นเคยกัน ซึ่งวิธีการหาเงินของคุณในเกมนี้ก็ไม่ค่อยต่างจากภาคก่อน ๆ มากนัก นั่นคือคุณจะไล่กระทืบกุ๊ยข้างถนน ไปเล่นพนัน หรือจะลงลานประลองหาเงินก็สุดแท้แต่ ทีนี้ในส่วนของ Akame Points นั้น จะไปผูกอยู่กับพวกไซด์เควสต์ต่าง ๆ รวมถึง completion (พวกประเภทที่ว่ากินอาหารในร้านให้ครบ หรือเคลียร์เงื่อนไขมินิเกมอะไรแบบนั้น) มันเลยค่อนข้างกระตุ้นให้เล่นให้เก็บครบ ๆ จะได้นำแต้มมาอัปสกิลหรือไม่ก็แลกไอเท็มดี ๆ จากอาคาเมะครับ

จุดเด่นอย่างหนึ่งของแฟรนไชส์นี้ก็คือมินิเกมที่มากมาย ซึ่งภาคนี้ก็มีให้เล่นเพียบเช่นเคย คุณอาจจะไปนั่งเล่นแบล็กแจ็กยามว่าง ไปนั่งจั่วไพ่นกกระจอกกับคนอื่น ตีกอล์ฟเพื่อทำไฮสกอร์ หรือจะเข้าบาร์ไปนั่งคุยกับสาวโฮสเตส อะไร ๆ ที่คุณคาดหวังว่าจะได้พบก็มีให้ครบครันเช่นเดิม พวกเกมอาร์เขดคลาสสิกของ SEGA เองก็มีให้เล่นเยอะครับ ถ้าคุณชอบความคุ้มในแง่ที่ว่าซื้อหนึ่งเกมได้หลายเกมล่ะก็ เกมนี้มีให้คุณได้เล่นจนอิ่มเลยแน่นอน

ผมชอบการดีไซน์เกมแต่ละภาคในแฟรนไชส์นี้ในแง่ที่ว่าทุกกิจกรรมที่มีให้ทำในเกมนั้น ไม่มีอะไรที่ไร้ความหมายครับ แต่ละอย่างจะมีรางวัลตอบแทนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเสมอ ไม่เว้นแม้แต่บรรดามินิเกมมากมายที่คุณจะเล่นหรือไม่เล่นก็ได้ แต่ถ้าเล่นก็มักจะได้อะไรดี ๆ ติดมือกลับไป

ถ้าจะมีจุดเด่นหนึ่งของภาคนี้ก็คือการที่เราสามารถเปลี่ยนชุดของคิริวได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นชุดปกติสำหรับการเดินไปเดินมาในเกม หรือชุดลงลานประลอง ซึ่งชุดที่เราเปลี่ยนก็จะปรากฏให้เห็นในฉากคัตซีนได้ด้วย ดังนั้นถ้าคุณเปลี่ยนชุดคิริวเป็นชุดบ้า ๆ บอ ๆ ล่ะก็อาจจะได้เห็นอะไรที่มันตลกในแบบที่ไม่ตั้งใจครับ ถึงอย่างนั้น ผมคิดว่าตัวเลือกชุดและของตกแต่งที่มีก็ยังค่อนข้างจำกัดถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ ที่มีระบบปรับแต่งตัวละคร แต่แค่เท่าที่มีผมก็คิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของแฟรนไชส์นี้แล้วครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าควรพูดถึงก็คือแฟรนไชส์นี้จะค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องการใช้ asset ซ้ำจากภาคเก่าเยอะ และภาคนี้ก็ไม่เว้นครับ เพราะว่าฉากที่มีให้คุณวิ่งเล่นได้หลัก ๆ ก็คือเมืองโซเท็นโบริในโอซาก้าที่ผู้เล่นวิ่งกันจนปรุมาหลายภาคแล้ว ส่วนเมืองอิจินโจในโยโกฮาม่าก็มีให้วิ่งเล่นได้แค่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้นโดยไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำนัก ฉากที่เรียกได้ว่าเป็นของใหม่เลยจริง ๆ ก็คือ Castle ที่เป็นสถานบันเทิงขนาดใหญ่บนเรือกลางมหาสมุทรนั่นล่ะครับ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ใหญ่โตมากขนาดที่มีอะไรให้สำรวจเยอะแยะอยู่ดี

ถ้าใครที่หวังจะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ แบบยกเครื่องนี่อาจจะผิดหวังไปสักหน่อย แต่ถ้าถามว่ามันสนุกไหม มันสนุกมากครับ ระบบต่อสู้นี่อาจจะเรียกได้ว่าสนุกและสะใจที่สุดในบรรดาภาคที่เป็นแอ็กชันในตอนนี้เลยล่ะ


กราฟิกและการนำเสนอ

เกมภาคนี้ยังคงใช้ Dragon Engine ในการพัฒนา แต่ส่วนตัวผมมองว่าคุณภาพกราฟิกนั้นดีขึ้นกว่าเกมก่อนหน้าอย่าง Lost Judgment อย่างชัดเจนเหมือนกันครับ พวกฉากโคลสอัปตัวละครนี่จะเห็นรายละเอียดพื้นผิวเสื้อผ้าและลายผ้าที่ละเอียดชัดเจนดี แสงสีและเอฟเฟกต์ก็ทำออกมาได้สวยงาม และเอฟเฟกต์ที่ว่าก็ยิ่งทำให้การต่อสู้ในแต่ละครั้งยิ่งทรงพลังมากขึ้นไปอีก


เสียงประกอบ

แม้ว่าตัวผมเองจะไม่มีสกิลภาษาญี่ปุ่นเลย แต่ก็ยืนยันได้ว่าคุณภาพของงานพากย์ในเกมนี้อยู่ในระดับยอดเยี่ยมมากครับ น้ำเสียงแต่ละคนนั้นบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้ดี ยิ่งฉากบีบคั้นอารมณ์ในตอนจบนี่ต้องชมเชยความสามารถของคุโรดะ ทาคายะผู้รับบทคิริวเลยจริง ๆ และในส่วนของเพลงประกอบนั้นก็ทำออกมาได้เยี่ยมสมมาตรฐานของซีรีส์นี้ เพลงฉากสู้นั้นดุดันไม่แพ้ภาคก่อน ๆ แต่ที่ผมชอบเป็นพิเศษเลยก็คือเสียงเอฟเฟกต์ครับ เสียงตอนที่คิริวต่อยคู่ต่อสู้นี่มันแน่นได้ใจมาก เสียงดังฟังชัดราวกับคู่ต่อสู้โดนรถชนก็ไม่ปาน


สรุป

Like a Dragon Gaiden The Man Who Erased His Name ยังคงเป็นภาคที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพสมมาตรฐานของซีรีส์ แม้ว่าคุณจะไม่ใช่แฟนของซีรีส์นี้ก็สามารถสนุกไปกับตัวเกมได้ แต่ถ้าหากคุณติดตามซีรีส์นี้มายาวนานคุณจะตื้นตันและอาจจะหลั่งน้ำตาในตอนจบของเกมได้เลย

The Review

85% เรื่องราวบทใหม่ ลูกผู้ชายพันธุ์มังกร

85%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์