*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Bandai Namco Entertainment Asia มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
แฟรนไชส์ Star Ocean นี้ อันที่จริงก็เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ที่อายุยาวนานไม่น้อยเหมือนกัน จากภาคแรกบนซูเปอร์แฟมิคอม สืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งคุณภาพเกมก็มีทั้งดีทั้งน่าปรับปรุงคละกันไป ซึ่งภาคล่าสุดที่เป็น 3D อย่าง The Divine Force นั้นเราก็เคยรีวิวไปแล้วที่นี่ แต่ในคราวนี้ Square Enix ได้ทำการชุบชีวิตภาคที่น่าจะเรียกได้ว่าดังที่สุดและคนชื่นชอบกันมากที่สุดอย่าง The Second Story กลับมาอีกครั้งโดยรีเมกในสไตล์ HD-2D ครับ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญอ่านกันต่อได้เลย
เนื้อเรื่อง
Star Ocean The Second Story R บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุคสมัยที่มนุษย์โลกมีวิทยาการอันล้ำหน้าและสามารถเดินทางแผ่อิทธิพลไปยังดวงดาวต่าง ๆ ในกาแล็กซี่ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเรื่องราวในเกมนี้ก็คล้ายกับต้นฉบับในสมัยเครื่อง PlayStation 1 ที่คุณจะเลือกตัวเอกหลักได้ระหว่างคล็อด ซี เคนนี (Claude C. Kenny) และเรนา แลนฟอร์ด (Rena Lanford) นั่นเอง
คล็อดนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสหพันธรัฐกาแล็กติกที่ร่วมเดินทางมากับยานแคลนัส (Calnus) เพื่อตรวจสอบสถานที่แห่งหนึ่งบนดาวมิโลคีเนีย (Milokeenia) แต่แล้วเครื่องจักรลึกลับก็ได้ดูดเขาหายไปจนปรากฏตัวบนดาวที่ไม่คุ้นเคย ที่นั่นเขาได้พบกับเรนา และชะตาก็พาเขาไปพัวพันกับการเดินทางเพื่อความอยู่รอดของดาวเอ็กซ์เปล (Expel) และลามไปถึงความอยู่รอดของจักรวาลเลยทีเดียว
หนึ่งในเอกลักษณ์ตั้งแต่ภาคต้นฉบับก็คือการที่เมื่อเราเลือกตัวดำเนินเรื่องหลักแล้ว เหตุการณ์ย่อย ๆ บางอย่างจะต่างกันไป โดยเฉพาะสิ่งที่เป็น Private Action ซึ่งจะทำให้เราสร้างความสนิทสนมกับตัวละครอื่น ๆ ในปาร์ตี้ได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ภาคนี้ยังคงรูปแบบเอาไว้ก็คือการเลือกเพื่อนเข้าปาร์ตี้ครับ เพราะว่าบางตัวละครจะเข้าปาร์ตี้คุณก็ต่อเมื่อคุณเลือกเล่นเป็นคล็อดหรือเรนาเท่านั้น ยังไม่นับว่าบางตัวจะรับเข้าปาร์ตี้ไม่ได้หากว่าคุณเลือกตัวไหนเข้าปาร์ตี้ไปก่อนแล้ว มันเลยทำให้การเล่นแต่ละรอบคุณสามารถมีสมาชิกปาร์ตี้ที่แทบไม่ซ้ำกันได้เลย ที่สำคัญคือในคราวนี้ฉากจบที่อ้างอิงความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครมีมากถึง 99 ฉากจบ มันเลยทำให้ replayability สูงมาก
ในแง่ของเนื้อหาโดยรวมนั้น ก็สนุกตามมาตรฐานของเกม RPG สไตล์ญี่ปุ่นล่ะครับ และก็มีรูปแบบการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้ซึ่งก็คือการจับเอาธีมแฟนตาซียุคกลางมาขยำกับไซไฟเทคโนโลยี เซ็ตติ้งในแต่ละภาคเลยมักจะเริ่มคล้าย ๆ กันคือตัวเอกจะมาจากอารยธรรมที่ล้ำหน้ากว่า แต่มีเหตุให้ต้องมาผจญภัยบนดาวด้อยพัฒนา (ที่สถาปัตยกรรมเป็นยุโรปกลางกันทุกดาว) แล้วก็หยอดสอดแทรกประเด็นต่าง ๆ ด้วยคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ (แต่ก็ยังแฟนตาซี) ซึ่งมันก็สนุกชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ เพียงแค่ว่าพอย้อนไปมองเนื้อหาของเกมด้วยสายตาในปัจจุบันแล้ว ผมก็รู้สึกว่าเรื่องราวมันออกจะเรียบไปสักหน่อย มีจุดหักมุมอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่ชวนช็อกขนาดนั้นแล้ว
เกมเพลย์
สำหรับเกมนี้ จะมีรูปแบบการเล่นคล้าย JRPG ที่คุ้นเคยกัน คือมีการเดินสำรวจในเมือง ซื้อของ เดินคุย หาอีเวนต์ ฯลฯ และพอออกเวิลด์แมป เราก็จะเดินไปไหนมาไหนได้อิสระพอควร และแน่นอนว่าระหว่างทางก็จะมีศัตรูให้สู้ พร้อมด้วยกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นมินิเกม
ผมอยากพูดถึงระบบต่อสู้ของเกมก่อน เชื่อว่าหลายคนที่เคยเล่นต้นฉบับมาคงจะคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นนั้น เกมนี้จะมีระบบสู้เป็นกึ่งแอ็กชันที่ตัวละครเราจะวิ่งไปมาในฉากได้อิสระ โดยมีปุ่มโจมตีธรรมดา และติดตั้งท่าไม้ตายเอาไว้ได้อีกสองท่า (จะเพิ่มเป็นสี่เมื่อดำเนินเกมไปเรื่อย ๆ) ซึ่งคุณต้องคอยวิ่งหลบ หรือวิ่งเข้าประชิดศัตรูเพื่อโจมตีต่อเนื่องด้วยการโจมตีธรรมดาสลับกับไม้ตาย และเพื่อนคนอื่น ๆ ก็จะควบคุมด้วย AI อัตโนมัติ แต่คุณก็สลับไปบังคับตัวละครอื่นได้ตลอดเหมือนกัน
การต่อสู้ในเกมนี้ช่วงแรก ๆ อาจจะดูธรรมดาและค่อนไปทางจืด แต่เมื่อคุณเริ่มปลดท่าเยอะขึ้น มีเพื่อนเยอะขึ้นแล้ว ทุกอย่างมันจะวุ่นวายโกลาหลมากครับ สาดท่ากันตูมตามยิงเวทกันกระจุยกระจาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในภาครีเมกนี้มีระบบที่เรียกว่า Assault Action ซึ่งเป็นการเซ็ตเพื่อนในปาร์ตี้ที่ไม่ได้ลงมาสู้ให้ออกมาใช้ท่าช่วยโจมตีหรือช่วยสนับสนุนได้อีก มันเลยเพิ่มความลึกของเกมเพลย์ขึ้นไปกว่าเดิมจากต้นฉบับอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน
อีกสิ่งที่ผมชอบในแง่ของเกมเพลย์ก็คือระบบการ Break ศัตรูนี่ล่ะครับ ระบบ Break นี่เหมือนเป็นระบบพิมพ์นิยมของหลายเกมในยุคนี้เลย ที่ศัตรูจะมีเกจเกราะนอกเหนือไปจากค่า HP ทั่วไป และเมื่อคุณตีเกราะมันแตกก็จะทำให้มันอยู่ในภาวะไร้การป้องกันไปครู่หนึ่ง เปิดโอกาสให้คุณทำแดเมจได้หนักหน่วงขึ้น ซึ่งมันก็จะไปสอดคล้องกับท่าและเวทในเกมที่จะมีกำกับว่าท่าไหนเน้นลดเกราะ ท่าไหนเน้นลด HP หรือท่าไหนเน้นสมดุล มันเลยทำให้คุณเลือกบทบาทหน้าที่ของคนในปาร์ตี้ได้อย่างอิสระมากพอดู จะเน้นตีเกราะแตกเพื่อชิงจังหวะ หรือจะเน้นบดขยี้ HP ก็สุดแท้แต่คุณเลย
ผมคิดว่าเกมนี้เป็นเกมที่เปิดโอกาสให้คนเล่นได้ลองอะไรต่าง ๆ ในแง่ของการปรับแต่งตัวละครสูงมาก เพราะนอกเหนือจากระบบการเล่นหลักที่กล่าวไป เกมยังมีระบบสนับสนุนมากมายที่เรียกว่าความถนัดของตัวละคร ซึ่งความถนัดเหล่านี้จะทำให้ปาร์ตี้ของคุณคราฟต์ไอเท็มได้ ทำอาหารได้ สร้างอาวุธหรือเกราะใหม่ได้ แต่งเพลงได้ ปรับอัตราการเจอศัตรู ปรับค่า EXP ที่ได้ ฯลฯ และอีกมากมาย ซึ่งระบบพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ก็จบได้ แต่ถ้าใครใช้เป็นมันจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะครับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคุณสามารถปั้นตัวละครสุด OP มาเล่นได้สบายทั้งเกมเลย
หากจะมีอะไรที่ภาคนี้เพิ่มเข้ามาแล้วผมชอบก็คือระบบภารกิจ Challenge ของในเกมนี่ล่ะครับ ซึ่งความท้าทายที่ว่าก็อาทิเช่นกำจัดศัตรูให้ครบจำนวนที่กำหนด ทำอาหารตามจำนวนครั้ง ทำแดเมจต่อครั้งให้สูงถึงที่กำหนด ฯลฯ อะไรพวกนี้ ที่เมื่อคุณทำได้สำเร็จก็จะได้รางวัลตอบแทนมา บ้างก็เงิน บ้างก็ค่า SP หรือ BP แต่บางทีก็ได้ของสวมใส่แจ่ม ๆ มาใช้ พอรวมกับบรรดากิจกรรมที่มีให้ทำในเกม มันเลยทำให้เกมนี้มีเนื้อหาที่แน่นมาก และทุกอย่างที่ทำจะมีสิ่งตอบแทนกลับมาเสมอ
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวเกมนั้นมีสิ่งต่าง ๆ มากมายให้ได้ลองเล่น รวมถึง replay value ที่สูงด้วยจำนวนตัวละครที่คุณชักชวนมาเล่นได้และฉากจบที่ต่างกันมากมาย การที่ทีมพัฒนาใส่โหมด New Game+ ลงมานั้นจึงเป็นอะไรที่ดีมากสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการเก็บทุกอย่างให้ครบถ้วนครับ เพราะสิ่งที่คุณลงแรงไปในรอบก่อน ๆ จะไม่เสียเปล่าและทำให้การเล่นรอบใหม่เพื่อเก็บตกนั้นสะดวกง่ายดายยิ่งกว่าเดิมมาก ๆ
แต่ถ้าถามว่ามันยากไหม? หากคุณเล่นปกติทั่วไปนั้นก็อยู่ในระดับกำลังดีและเพลิน ๆ ครับ ให้พูดตามตรงเลยตลอดการเล่นในระดับความยากปกติของผมนี่ มีช่วงที่เกมโอเวอร์ก็คือตอนไปสู้กับบอสลับเอย สู้กับศัตรูในดันเจี้ยนลับ หรือไม่ก็พวกศัตรู Raid บนฉากแผนที่นั่นล่ะครับ ซึ่งก็ตามธรรมชาติของศัตรูในช่วงเอนด์เกมที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นศัตรูทั่วไปตามฉากนี่ก็สู้ได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก
กราฟิกและการนำเสนอ
ในส่วนของกราฟิกเกมนี้นำเสนอในแบบ 2D-HD อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งก็คือบรรดาตัวละครรวมถึงศัตรูในเกมนั้นจะใช้เป็นภาพสไปรต์พิกเซล 2D คล้ายภาคต้นฉบับ แต่พวกสภาพแวดล้อมต่าง ๆ พวกฉากเมือง ฉากเวิลด์แมปนั้นจะใช้โมเดล 3D แทน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีรายละเอียดเทียบเท่ากับเกมใหญ่ ๆ อลังการ แต่อาร์ตดีไซน์นั้นทำออกมาได้สวยงามและดูดีครับ ทุกอย่างผสมกันออกมาได้ลงตัวไม่เบา
แต่ถ้าจะมีอะไรที่ผมคิดว่าทำออกมาได้ดีที่สุดก็คงไม่พ้นในส่วนของเอฟเฟกต์ในตอนสู้ครับ การใช้ท่าไม้ตายและการใช้เวทในเกมนี้เป็นอะไรที่ตูมตามสะใจมาก เอฟเฟกต์นี่ท่วมจอแสดงถึงความรุนแรงได้ชัดเจน จนหลาย ๆ ครั้งก็มองอะไรแทบไม่เห็นเหมือนกันเพราะเอฟเฟกต์นี่ล่ะ (รวมถึงเลขแดเมจที่เด้งครั้งนึงเหมือนมากันทั้งตำบล) ใครอยากได้เกมที่ฉากสู้สะใจนี่เกมนี้ให้ได้แน่นอน และสิ่งสำคัญมากคือแม้จะมีเอฟเฟกต์สาดเต็มจอแค่ไหน ก็ไม่เจอปัญหาด้านเพอร์ฟอร์มานซ์ครับ
งานเสียงและเพลงประกอบ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมเล่นพากย์อังกฤษเป็นหลัก และก็ยังจำได้ถึงเสียงพากย์ของเกมในเวอร์ชันต้นฉบับบน PlayStation 1 ที่ฟังยังไงมันก็แอบตลก แต่สำหรับรอบนี้ผมคิดว่าเสียงพากย์แต่ละตัวละครทำออกมาได้ดีครับ ไม่มีใครที่ฟังแล้วล้นเกินไป ไม่มีใครที่ฟังแล้วพยายามมากเกินไป ทุกคนฟังดูเป็นธรรมชาติหมด
ในส่วนของเพลงประกอบนี่ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ เพลงประกอบของเกมนี้ทำออกมาได้ดีมากครับ มีหลายเพลงเลยที่ฟังแล้วติดหู และอาจจะติดในหัวไปอีกพักนึงหลังหยุดเล่นไปแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะเพลงฉากสู้นี่ก็ชวนให้ฮึกเหิมได้ดีไม่เบา
สรุป
หลังจากที่แอบเป๋ไปในภาค The Divine Force นั้น ผมคิดว่าแฟรนไชส์ Star Ocean ก็สามารถที่จะดึงเอาเสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายคนหลงใหลและติดตามเกมนี้ได้กลับมาอีกครั้งใน The Second Story R นี่ล่ะครับ ถ้าคุณเคยชอบภาคต้นฉบับ คุณจะชอบการรีเมกในครั้งนี้ ถ้าคุณไม่เคยเล่นแฟรนไชส์นี้เลย ลองเล่นภาคนี้ดูแล้วคุณอาจจะได้เกมโปรดเพิ่มขึ้นมาอีกเกมหนึ่งก็เป็นได้ครับ