Games Reviews

The Walking Dead Destinies – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

The Walking Dead Destinies – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ripples Asia มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

The Walking Dead นั้น น่าจะเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ซอมบี้ที่มีคนรู้จักกันมากมายเรื่องหนึ่งของโลก ในสมัยที่โด่งดังถึงขีดสุดนั้นต่อให้คุณไม่ได้ติดตามชมเลย แต่ก็ต้องเคยเห็นคอนเทนต์เกี่ยวกับ The Walking Dead ผ่านตากันไม่มากก็น้อย และความดังนั้นก็ก่อให้เกิดเป็นวิดีโอเกมสปินออฟอีกมากมาย ซึ่งคุณภาพก็มีดีบ้างแย่บ้างคละ ๆ กันไป และในคราวนี้ก็มาถึงคิวของ The Walking Dead Destinies ที่เป็นวิดีโอเกมล่าสุดนี่เองครับ


เนื้อเรื่อง

สำหรับ The Walking Dead Destinies ในคราวนี้ จุดขายของเกมที่ประกาศเอาไว้ตั้งแต่แรก ๆ ก็คือตัวเกมจะหยิบยกเอาเหตุการณ์ในฉบับทีวีซีรีส์ช่วงซีซันที่ 1 ถึงซีซันที่ 4 มาให้ได้เล่นกันในแบบวิดีโอเกม แต่ว่าผู้เล่นจะสามารถเลือกตัดสินใจในเหตุการณ์สำคัญได้ว่าใครจะอยู่และใครจะตาย ฟังดูน่าสนใจไม่เบาใช่ไหมครับ? อาจเพราะว่าซีรีส์เกมชุด The Walking Dead ของ Telltales ที่เน้นเรื่องทางแยกในการตัดสินใจของผู้เล่นนั้นเคยโด่งดังและได้รับคำชมเยอะมาก ทีมงานผู้พัฒนาเกมนี้ก็เลยเอาองค์ประกอบนั้นมาใช้แต่ให้เล่นแบบแอ็กชันซะเลย

เอาล่ะ ผมต้องออกตัวก่อนเลยว่า ผมเล่นเกมนี้แบบคนที่ไม่มีความคาดหวังอะไรใด ๆ ทั้งสิ้นครับ แม้ว่าคะแนนจากเว็บต่างประเทศจะออกมาย่ำแย่ขนาดไหน ผมก็ยังทำใจกลาง ๆ ในตอนเล่น ผลคือ…ขนาดไม่คาดหวังแล้วเกมก็ยังทำลายความคาดหวังผมได้อยู่ดี

สิ่งที่จะต้องบอกก่อนก็คือ รูปแบบการนำเสนอเนื้อหาของเกมมันตัดความเร็วมาก มีหลายฉากที่พอจบเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว ก็ตัดฉับไปยังฉากต่อไปเลย อารมณ์เหมือนเวลาเราข้ามฉากโดยไม่มีฉากคัตซีนระหว่างทางให้ดูครับ เต็มที่ก็คือขึ้นข้อความบนจอบอกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทำไมเราต้องเดินทางจากจุดนี้ไปยังอีกจุดหนึ่ง ทุกสิ่งในเกมทำออกมาเหมือนต้องเป็นคนที่เคยดูซีรีส์มาก่อนถึงจะเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็ช่วงต้นเกมเลยครับ เราเล่นเป็นริคที่หนีออกจากโรงพยาบาลมาแล้วมาที่แอตแลนตา ในระหว่างทางก็เจอพวกวอล์กเกอร์ล้อมเลยต้องมุดไปหลบใต้รถถัง และตอนนั้นเองที่เกล็น (ซึ่งขณะนั้นทั้งสองไม่เคยเจอกัน) ก็คุยกับริคผ่านทางอะไรไม่รู้ แล้วอาสาดึงความสนใจให้ พอดึงความสนใจได้เสร็จ เราก็สลับมาเล่นเป็นริคเพื่อหนีจากตรงนั้น แล้วพอวิ่งไปถึงจุดที่กำหนด เกมก็พาเราไปเหตุการณ์ที่เมิร์ลกับทีด็อกทะเลาะกันบนดาดฟ้าเลย แล้วเราต้องเลือกว่าจะเข้าข้างใคร พอจบเหตุการณ์ริคก็จะเดินไปค่ายผู้รอดชีวิตร่วมกับเกล็นแบบงง ๆ พร้อมด้วยคนที่เราเข้าข้าง ไม่มีคุยเกริ่น ไม่มีอะไรเลย

แล้วยิ่งประมาณ 95% ของเกมนี่เลือกทำคัตซีนแบบเป็นภาพสไลด์แทนที่จะทำฉากเคลื่อนไหวในแบบที่ควรจะทำ ไม่รู้ว่างบไม่พอหรืออะไรยังไง มันเลยทำให้การเล่าเรื่องในประเด็นต่าง ๆ ยิ่งถดถอยลงไปอีก

แค่นั้นยังไม่พอ การที่ทีมงานตั้งใจจะนำเนื้อหาจากทีวีซีรีส์มาแปลงนั้น เอาเข้าจริงแล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากเหมือนกันครับ มีการรวบรัดตัดความไปเพียบแถมตัวละครบางตัวก็โดนตัดหายไปเลย มันเลยทำให้เหตุและผลในหลายฉากขาดหายไปอื้อซ่าจากที่ควรจะเป็นครับ


เกมเพลย์

สำหรับรูปแบบการเล่นของเกมนี้คือเกมแอ็กชันเอาตัวรอดจากบรรดาซอมบี้และบางทีก็มีศัตรูที่เป็นคนธรรมดา และดำเนินเรื่องราวในลักษณะฉากต่อฉาก โดยจะไม่มีการเก็บของเก็บไอเท็มไปใช้ต่อในฉากอื่น แต่ประเด็นก็คือในหลายครั้ง เกมมีการจัดวางไอเท็ม หรือจัดวางสิ่งต่าง ๆ เอาไว้แบบตลกกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น อย่างฉากแรกที่ริคต้องหาชุดนายอำเภอมาเปลี่ยน ก็เจอชุดใหม่เอี่ยมพับเรียบร้อยวางไว้บนฝากระโปรงรถกลางถนน แถมยังมีป้ายจราจรตั้งไว้ชี้ด้วยลูกศรบอกกันแบบหน้าด้าน ๆ เลย

ในแง่ความยากเอง เกมมันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าจะต้องดิ้นรนเอาตัวรอดมากขนาดนั้น ผมเลือกเล่นระดับความยากปกติ แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ผมสามารถรับมือกับซอมบี้แทบทุกตัวได้โดยการฟาดด้วยอาวุธหนึ่งทีแล้วกดมีดปักหัว จากนั้นก็วิ่งหลบถอยมาหน่อยรอพลังกายฟื้นแล้วทำแบบนี้ไปอีกได้จนหมดฉาก เพราะอาวุธประชิดเกมนี้ไม่มีแตกหักเสียหาย มิหนำซ้ำยังมีวางไว้เกลื่อนกลาดประมาณว่าอยากเปลี่ยนไปใช้อะไรก็เลือกเอาแล้วกัน ส่วนฉากไหนที่มีปืนให้ใช้ กระสุนก็วางเกลื่อนเหลือเฟือครับบางทีสามารถเก็บได้เป็นเจ็ดร้อยแปดร้อยนัด ชนิดที่บทพูดของตัวละครเรื่องทรัพยากรร่อยหรอเป็นแค่เรื่องตลกได้เลย

ตัวเกมมีระบบ execution หรือท่าสังหารแบบสมัยนิยมด้วย แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเกจอะดรีนาลีนเต็ม (ซึ่งก็ขึ้นง่ายมาก) แถมพอใช้แล้วก็จะฟื้นฟูพลังชีวิตให้ตัวละครของเราได้อีก มันเลยยากมากที่จะเกมโอเวอร์ได้ ไม่นับว่าฉากหลังที่เจอพวกศัตรูเป็นมนุษย์นี่ หลายทีเราไม่ต้องสนใจแล้วยืนเอาหน้ารับกระสุนลูกซองก็ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะตายเลยครับ

เกมนี้มีระบบอัปสกิลด้วย ซึ่งมาในรูปแบบของสายสกิลที่ผูกกับตัวละครในค่ายผู้รอดชีวิตของเรา หากว่าตัวละครไหนตายไปเราจะไม่สามารถอัปสกิลของตัวละครนั้นได้อีก แต่สกิลไหนที่อัปแล้วก็จะอยู่ถาวร โดยที่ผลของสกิลนั้นจะส่งผลถึงทุกตัวละครครับ ดังนั้นการสลับเล่นตัวละครอื่น ๆ ในแต่ละช่วงเหตุการณ์ก็เลยไม่มีอะไรต่างกันเลย เหมือนแค่เป็นการเปลี่ยนสกินเฉย ๆ

การอัปสกิลนั้นเราต้องใช้แต้มสกิลซึ่งก็ได้จากการเก็บไอเท็มพวกวิทยุบ้าง สมุดบ้างในแต่ละฉาก รวมถึงได้มาเมื่อผ่านฉาก ทั้งนี้เกมเองก็มีระบบเลือกตัดสินใจย่อม ๆ ในค่ายที่จะทะเลาะกัน แล้วเราต้องไปคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งการคลี่คลายที่ว่าก็คือเลือกว่าเข้าข้างใคร แล้วเราก็ได้แต้มสกิลมา โดยที่การตัดสินใจจุดนี้จะไม่ส่งผลต่ออะไรอีก แม้แต่ระบบการส่งคนในค่ายออกไปหาทรัพยากรเองก็จะมีตัวเลือกให้เราตัดสินใจในระหว่างฉาก ถ้าเราเลือกถูกก็จะได้แต้มสกิลเยอะ เลือกผิดก็อาจไม่ได้แต้มหรือได้น้อยลง

ซึ่งก็อย่างที่บอกไป มันไม่ได้ส่งผลอะไรอื่น ๆ ต่อการเล่นเลย แม้กระทั่งการตัดสินใจในเหตุการณ์สำคัญที่ใครจะอยู่ใครจะตายเองก็ไม่ต่างกัน หากว่าคุณดูซีรีส์มาแล้วจดจำได้ว่าในเหตุการณ์นี้ ตัวละครนี้จะเป็นคนลุยหรือลงมือทำอะไรบางอย่าง ถ้าเกิดว่าคุณเลือกให้ตัวนั้นตายไป สุดท้ายตัวละครที่รอดก็จะเป็นคนลงมือในเหตุการณ์นั้นแทนอยู่ดีครับ

ระบบทางเลือกของเกมนี้นำเสนอได้อย่างผิวเผินและไม่ก่อให้เกิดความสำคัญอะไรกับเนื้อหาและเกมโดยรวมเลยแม้แต่น้อย คุณจะเลือกริคหรือว่าเลือกเชนให้เป็นผู้นำกลุ่มต่อ? ก็ไม่มีอะไรสุดท้ายเรื่องก็จะดำเนินไปแบบเดียวกันโดยคนที่รอด แล้วใครจะรอดระหว่างลอริกับแครอล? ก็ไม่สำคัญเพราะคนที่รอดก็จะมีบทบาทในเกมแบบเดียวกัน

ส่วนระบบลอบเร้นของเกมนี้ก็…ไม่ต้องใส่มาก็ได้ เพราะในหลายครั้ง ๆ เดินผ่านหน้า AI ไปมันก็ยังไม่เห็นเราเลยครับ


กราฟิกและการแสดงผล

ในส่วนของกราฟิกนั้น ผมมีความรู้สึกว่ามันเป็นเกมที่ไม่สมกับเป็นเกมในเจนนี้เลยจริง ๆ ถ้าจะบอกว่าเกมสมัย PlayStation 2 บางเกมยังทำออกมาได้ดูดีกว่า ทั้งในแง่คุณภาพโมเดลและงานศิลป์ก็คงไม่ผิดครับ

นอกจากกราฟิกที่ทำออกมาได้ไม่สมยุคแล้ว ตลอดการเล่นนี่ผมจำเป็นต้องกดออกจากเกมแล้วกดเข้าเกมใหม่ไปสามรอบ เพราะว่าเกมค้างที่หน้าจอโหลดไปหนึ่งครั้ง แต่พอกดหน้าจอเมนูก็ดันมีเสียงเปิดหน้าจอให้ได้ยิน คัตซีนไม่ขึ้นไปหนึ่งครั้งแต่เสียงพากย์มาตามปกติจนเกมเด้งออกมาเอง และอีกครั้งหนึ่งคือเกมเข้าฉากเรียบร้อย แต่ไม่โหลดตัวละครของเราในฉาก ซึ่งทุกครั้งก็ต้องแก้โดยการปิดเกมแล้วเข้าใหม่นี่ล่ะครับ


งานเสียง

ผมคิดว่าเสียงพากย์ตัวละครอยู่ในระดับที่พอรับได้ เพียงแต่ว่าพวกบทพูดในบางฉากมันก็ดันไม่สอดคล้องกับตัวเลือกและการตัดสินใจของเราในช่วงก่อนหน้านั้น แล้วประเด็นคือตัวละครในเกมมันพูดมากกันครับ โดยเฉพาะตอนเก็บของเก็บไอเท็มแต่ละอย่างนี่จะพูดกันตลอด มันเลยทำให้ช่วงจังหวะชุลมุนนี่สร้างความพิลึกให้กับสถานการณ์ บู๊ ๆ อยู่พอเก็บกระสุนก็พูดขึ้นมาที เกจอะดรีนาลีนเต็มก็พูดที เอามีดปักหัวสเตลธ์คิลก็พูดที แถมมันเป็นการตัดบทสนทนาขณะเล่นไปเลยด้วย


สรุป

The Walking Dead Destinies เป็นเกมที่ตลกแบบไม่ได้ตั้งใจให้ตลก อยากจะทำแอ็กชันแต่ก็ไม่สุด อยากจะทำเกมทางเลือกแต่ก็ออกมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าคุณภาพเกมแบบนี้มันขึ้นอยู่กับฝีมือของทีมพัฒนา หรืออยู่ที่ทุนสร้าง หรือสองอย่างรวมกัน ถ้าจะให้ผมนิยามสั้น ๆ เกี่ยวกับเกมนี้ก็คือ So bad it’s good. นั่นล่ะครับ

The Review

30% The Crawling Dead Incompetency

30%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์