*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Sony Interactive Entertainment Singapore มา ณ โอกาสนี้ครับ
สำหรับ The Last of Us Part II Remastered ในครั้งนี้ เดิมวางจำหน่ายบน PlayStation 4 ในปีค.ศ.2020 โดยที่เวอร์ชันรีมาสเตอร์บน PlayStation 5 ในคราวนี้ ถ้าจะให้พูดถึงในแง่เนื้อหาแล้วโดยหลักก็คือเกมฉบับเดียวกันนั่นล่ะครับ แต่มีการปรับปรุงความละเอียดภาพให้สมกับประสิทธิภาพของเครื่องมากขึ้น
เพียงแต่ว่าการกลับมาในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เพียงปรับปรุงความละเอียดภาพเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับคอนเทนต์เกมที่เพิ่มเติมเข้ามาอีกพอประมาณ ดังนั้นสำหรับรีวิวในครั้งนี้ผมจะไม่ไปลงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเนื้อเรื่องเกม ระบบการเล่น หรืออะไรพวกนั้น แต่จะขอพูดถึงในสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาเพียว ๆ ครับ เชิญอ่านกันต่อเลยครับว่ารีมาสเตอร์ครั้งนี้มีอะไรใหม่และผมมีความเห็นอย่างไรบ้าง
โหมดเล่นกีตาร์
สำหรับใครที่เล่นเวอร์ชัน PlayStation 4 กันมาแล้วก็คงจำได้ว่าช่วงหนึ่งในเนื้อเรื่องที่เราได้เล่นเป็นเอลลี่ ก็จะมีตอนที่ให้เราได้เล่นมินิเกมดีดกีตาร์กันนะครับ ซึ่งมินิเกมที่ว่านี้เล่นได้แค่บางช่วงเท่านั้น แต่ว่าความละเอียดของระบบการเล่นนั้นก็ทำออกมาได้สมจริงมาก ทั้งการจับคอร์ด การไล่คอร์ด ฯลฯ ถึงขนาดที่ว่าช่วงแรก ๆ ที่เกมออกมีบางคนอัดวิดีโอการเล่นกีตาร์ในเกมนี้ออกมาได้เท่และลื่นไหลมาก และเชื่อว่าทีมงานก็สังเกตเห็นในจุดนี้ รอบนี้ก็เลยใส่โหมดแยกมาให้เล่นกีตาร์กันโดยเฉพาะแบบไม่ต้องสนเนื้อเรื่องกันไปเลย
อันที่จริงโหมดนี้เป็นอะไรที่ผมก็แอบคิดว่าทีมงานใส่ใจผู้เล่นดีเหมือนกัน เพราะมันอาจเป็นสิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะข้ามกันไปแบบไม่ได้สนใจนัก เพราะผู้เล่นที่เล่นกีตาร์เป็นก็น่าจะมีสัดส่วนน้อยกว่า แล้วถ้าจะนับผู้เล่นที่เล่นกีตาร์แล้วสนใจมาดีดกีตาร์ในเกมนี้ด้วย ก็น่าจะยิ่งน้อยลงไปอีก แต่ก็อีกนั่นล่ะผมคิดว่าอย่างน้อยมีไว้ก็ตอบสนองผู้เล่นส่วนหนึ่งได้แน่นอน และผมเชื่อว่าหลังเกมวางจำหน่ายก็น่าจะได้เห็นคนดีดกีตาร์แล้วเล่นเพลงเจ๋ง ๆ ให้ได้ชมกันมากมายยิ่งกว่าเวอร์ชัน PlayStation 4 ครับ
โหมดโนรีเทิร์น
ในบรรดาคอนเทนต์ที่เพิ่มเติมเข้ามาทั้งหมด โหมดนี้ถือเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของฉบับรีมาสเตอร์ในรอบนี้ครับ หลายคนอาจจะรู้กันแล้วว่าโหมดนี้จะให้ผู้เล่นได้เล่นเกมในสไตล์โร้กไลท์ครับ แต่ว่ามันหมายความว่ายังไงล่ะ?
อธิบายกันง่าย ๆ ก็คือในโหมดนี้คุณจะได้เลือกเล่นตัวละครสำคัญจากในเนื้อเรื่องหลายตัวละคร (นอกเหนือไปจากเอลลี่และแอ็บบี้) ซึ่งแต่ละคนนั้นจะมาพร้อมกับสกิลเซ็ตและอาวุธเริ่มต้นต่างกัน บางตัวละครก็จะมีความสามารถแพสซีฟบางอย่างที่ต่างกับตัวละครอื่นด้วย เช่นเอลลี่ก็จะหลบหลีกได้แบบในตัวเกมหลัก แต่ตัวจะบางกว่า ในทางกลับกันถ้าเล่นเป็นโจเอลก็จะหลบไม่ได้เลยแต่ถึกกว่าเมื่อโดนโจมตีประชิด เป็นต้น
รูปแบบการเล่นของโหมดนี้คือคุณจะต้องเลือกฉากที่ต้องการเล่นหลังจากที่เคลียร์ฉากเริ่มต้น ซึ่งสถานการณ์ของแต่ละฉากก็จะเป็นแบบสุ่มครับ ไม่ว่าจะประเภทของศัตรู หรือเงื่อนไขการผ่านฉากนั้น ๆ บางฉากศัตรูจะอยู่ในสภาวะค้นหาก็จะทำให้เราเล่นลอบเร้นได้ แต่บางฉากนี่เริ่มมาศัตรูก็อยู่ในภาวะที่พร้อมวิ่งมาหวดเราเลยทันที มันเลยทำให้การเล่นแต่ละรอบนี่บางทีดวงก็มีส่วนว่าจะไปเจอฉากที่ถนัดไหม มีของพร้อมรึเปล่าอะไรแบบนั้น
พอคุณเล่นเคลียร์แต่ละฉากในทุกครั้งก็จะได้ทรัพยากรมาพร้อมกลับไปที่ซ่อนโดยอัตโนมัติเพื่อเตรียมลุยฉากต่อไป ซึ่งภายในที่ซ่อนนี้ก็จะเปิดโอกาสให้คุณใช้ทรัพยากรเตรียมตัว ทั้งการซื้อของต่าง ๆ (ที่สุ่มมา) ใช้อาหารเสริมเพื่ออัปสกิล หรือใช้พาร์ตเสริมเพื่อแต่งปืน ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลมันคือโร้กไลท์แท้ ๆ ที่หากคุณพลาดตายก็จะไม่มีคอนทินิวและต้องเล่นใหม่อย่างเดียว แต่ถ้าคุณเล่นจนชนะบอสในรอบนั้น ๆ ได้ คุณก็ไม่สามารถเก็บของเก็บสกิลที่ได้มาไปใช้ในรอบต่อไปได้เหมือนกัน
ผมคิดว่าโหมดนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากระบบการเล่นของเกมได้ดีครับ เพราะผมเชื่อว่านอกเหนือไปจากเนื้อหาเกมที่บาดลึกกินใจแล้ว The Last of Us Part II นี้มีระบบการเล่นทั้งการลอบเร้นและการบู๊ซึ่งหน้าที่ทำออกมาได้ดี ระบบแน่น เล่นแล้วสนุกในทุกสถานการณ์ และโหมดนี้ก็มาช่วยตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากสนุกกับระบบการเล่นให้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเผชิญกับศัตรูกลุ่มเดิม ในฉากเดิมจากโหมดเนื้อเรื่องครับ ถ้าให้เทียบแล้วก็เหมือน Resident Evil ที่ใส่โหมด Mercenaries ลงมาอย่างไรอย่างนั้นเลยนั่นล่ะครับ
ถึงจุดนี้หลายคนอาจจะคิดว่ามันจะทำให้เบื่อง่ายหลังเล่นไปไม่กี่รอบรึเปล่า? ผมคิดว่าถ้าจะมีอะไรที่ทำให้คนเล่นยังอยากเล่นซ้ำอีกหลายครั้งก็คงไม่พ้นบรรดาความท้าทายต่าง ๆ ประจำโหมดนี้นั่นล่ะครับ เงื่อนไขของแต่ละตัวละครก็จะต่างกันไป โดยชุดแรกสุดมักเป็นการเคลียร์เพื่อปลดตัวละครใหม่ และหลังจากนั้นก็จะเป็นพวกสกินต่าง ๆ และบ้างก็เป็นการปลดล็อกความหลากหลายของสถานการณ์ในฉากเพิ่มเติมเพื่อความหลากหลาย ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชนต่อคนเล่นและบางอย่างก็เพิ่มอุปสรรคให้แก่คนเล่นอะไรแบบนั้น
เอาเป็นว่า ถ้าคุณชอบระบบการเล่นของเกมนี้คุณจะอิ่มกับโหมดนี้แน่นอนครับเพราะจะมีศัตรูให้คุณได้หวด ได้ยิง ได้สู้จนหนำใจไปเลย
ฉากที่โดนตัดออกไปในเกม
โบนัสอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าแฟน ๆ จะชื่นชอบก็คือการได้เห็นสามฉากซึ่งโดนตัดออกไปในตัวเกมหลักครับ ซึ่งสามฉากที่ว่านี่ไม่ได้เป็นแค่ภาพคอนเซปต์ แต่เป็นฉากที่ให้ได้ลองไปวิ่งเล่นจริง ๆ เลย เรียกได้ว่าเป็นฉากที่อยู่ในสภาพยังไม่สมบูรณ์แต่ก็ยังสามารถไปเดินเล่นได้ สำรวจได้ แม้จะยังไม่มีการเก็บงานให้เรียบร้อยก็ตาม
ฉากพวกนี้มาพร้อมกับคำบรรยายจากทีมสร้างครับ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจว่าเดิมทีตั้งใจจะให้แทรกลงไปในช่วงไหนของเกม เหตุผลในการใส่ฉากนี้คืออะไรแล้วทำไมถึงได้ตัดสินใจตัดออกไปในท้ายที่สุด แฟน ๆ ที่ชื่นชอบเนื้อหาหลักอยู่แล้วก็จะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติมครับ
สรุป
แม้ว่าจะเป็นฉบับรีมาสเตอร์ของภาคที่เคยวางจำหน่ายไปแล้ว แต่ว่า The Last of Us Part II Remastered ก็ยังเป็นเกมที่มีคุณภาพและมีคุณค่าในตัวเองอยู่เช่นเคย และคอนเทนต์ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็จะทำให้คุณยังสามารถเล่นเกมนี้ต่อไปได้แม้ว่าจะเล่นเนื้อเรื่องหลักจบไปแล้วก็ตาม หากคุณสงสัยว่าคุ้มค่าที่จะซื้ออีกรอบไหม? คุณอาจต้องลองถามตัวเองก่อนว่าคุณชอบระบบการเล่นของเกมมากแค่ไหนครับ เพราะสิ่งที่เพิ่มเข้ามานั้นโหมดโนรีเทิร์นถือเป็นไฮไลต์หลักเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าคุณชอบเนื้อหาของเกมเป็นหลัก ผมคิดว่าฉากที่โดนตัดไปสามฉากก็ยังน้อยไปหน่อยที่จะทำให้คุณรู้สึกได้เนื้อได้หนังในแง่เนื้อเรื่องครับ
แต่ถ้าหากว่าคุณไม่เคยเล่นต้นฉบับบน PlayStation 4 มาก่อนเลยล่ะก็ นี่คือตัวเกมฉบับที่มีคอนเทนต์อัดแน่นที่สุดแล้วครับ