![Onimusha 2 Remastered – รีวิว [REVIEW]](https://thaigamewiki.com/wp-content/uploads/2025/04/Onimusha-2-Remastered-Review-Cover.jpg)
*ขอขอบคุณ Capcom สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
อย่างที่เราเคยเกริ่นไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ Onimusha 2 Remastered ฉบับพรีวิวให้ทุกท่านได้พอทราบกันไปแล้วว่าตัวเกมนั้นเป็นอย่างไร (อ่านได้ที่นี่) ในคราวนี้ก็จะเป็นการรีวิวตัวเกมแบบเต็มตัวครับ (ในส่วนของเนื้อหางานภาพและเสียงจะยกยอดมาจากพรีวิว)
เนื้อเรื่อง
ตามที่ผมเคยเกริ่นเอาไว้ในพรีวิวก่อนหน้านี้ว่าเนื้อหาของเกมนั้นตรงไปตรงมาและไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเนื้อหาหลัก ๆ เลยก็คือยางิว จูเบย์ (มุเนโตชิ) ตัวเอกของเกมผู้เป็นนักดาบฝีมือฉกาจในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคเซ็นโกคุ จะต้องออกเดินทางเพื่อล้างแค้นให้กับบรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านที่โดนกองทัพของจอมปีศาจโอดะ โนบุนากะกวาดล้างจนสิ้นซากนั่นเอง
แม้ว่าเนื้อหาหลักของเกมจะเดินเรื่องเป็นเส้นตรง แต่ว่าระหว่างทางนั้นจะมีเหตุการณ์มีอีเวนต์ที่แตกต่างกันไปได้ในการเล่นแต่ละรอบ ซึ่งจะอ้างอิงกับระบบค่าความสัมพันธ์ที่คุณมีกับพรรคพวกอีก 4 คนนี่ล่ะครับ ดังนั้นการเล่นแต่ละรอบก็จะทำให้คุณได้เห็นเรื่องราว เห็นเหตุการณ์ที่ต่างออกไปได้แม้จะเป็นเส้นเรื่องหลักช่วงเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่ารอบนั้น ๆ คุณมีความสนิทกับใครมากกว่ากัน
ด้วยเหตุนี้เอง มันเลยทำให้ตัวเกมมี replay value ที่สูงและคุณจะต้องเล่นอย่างน้อย 4 รอบแน่นอนเพื่อที่จะเห็นเหตุการณ์ให้ครบ (ตามจำนวนพรรคพวกในเกม) และคุณจะไม่มีทางเก็บทุกอย่างได้ครบ 100% ในรอบเดียวแน่ ๆ เพราะหลายครั้งเหตุการณ์ของแต่ละคนจะทับซ้อนในช่วงเดียวกันเพราะฉะนั้นคุณอาจต้องเลือกว่าในรอบที่เล่นนั้นคุณอยากเห็นอีเวนต์ของใครเป็นหลัก จากนั้นก็มุ่งสร้างความสนิทกับคนนั้นไปเลยรอบเดียว
ในแง่ของเนื้อหาหลักของเกมนั้น ก็อย่างที่ผมบอกไปว่ามันตรงไปตรงมา ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบมันก็จะเหมือนเวลาเราดูหนังแอ็กชันบู๊กันมัน ๆ สักเรื่อง แต่ไม่ได้มีแง่มุมที่ลึกซึ้งในเชิงเนื้อหาอะไร เสพเพื่อความบันเทิงเพียว ๆ ครับ ผมเคยบอกเอาไว้ในพรีวิวว่าจังหวะการเดินเรื่องและฉากคัตซีนมันคล้ายพวกหนังฮีโร่โทคุซัตสึของญี่ปุ่น ดังนั้นใครเคยดูหนังพวกนั้นเยอะ ๆ ก็น่าจะพอเดากันออกไม่ยาก
เพราะฉะนั้น Onimusha 2 Remastered อาจจะไม่ใช่เกมที่คุณเล่นซ้ำเพราะมีเนื้อหาหรือเรื่องราวที่โดนใจ หรือเล่นเพื่อเก็บประเด็นที่ตกหล่น (เพราะมันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนให้ตกหล่น) แต่จะเน้นการเล่นซ้ำเพื่อดูอีเวนต์ให้ครบมากกว่าครับ
เกมเพลย์
อย่างที่หลายคนก็น่าจะทราบกันดีแล้วว่า Onimusha 2 นั้นเป็นเกมแอ็กชันที่ใช้อาวุธประชิดเป็นหลักตามแบบซามูไรทั้งดาบ ทั้งหอก ทั้งดาบกังหันและค้อน (เอ๊ะ ซามูไรเรอะ?) แต่ผสมความแฟนตาซีด้วยพลังวิญญาณในอาวุธของเหล่าโอนิ ดังนั้นการต่อสู้จึงฉูดฉาด รวดเร็ว และสวยงาม พร้อมด้วยระบบอันเป็นเอกลักษณ์ในการดูดวิญญาณจากศัตรูที่กำจัดไปเพื่อฟื้นพลังชีวิต ฟื้นพลังเวท หรือสะสมพลังวิญญาณไว้ไปอัปเกรดอาวุธและชุดเกราะที่มี
ทุกการต่อสู้จะค่อนข้างให้ผู้เล่นต้องตัดสินใจแบบคิดไวทำไวพอควร เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณเลือกดูดพลังวิญญาณจากศัตรูที่กำจัดไปแล้ว ศัตรูตัวอื่น ๆ มันจะอาศัยจังหวะนั้นเล่นงานคุณตลอดเวลา เพราะฉะนั้นระหว่างเล่นนี่คุณจะหยุดยืนดูดวิญญาณส่งเดชไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะโดนดาบศัตรูฟาดหน้าได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่า AI ของศัตรูถูกเขียนขึ้นมาให้โจมตีผู้เล่นเมื่อใดก็ตามที่กดดูดวิญญาณ แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าคุณเชี่ยวพอก็สามารถใช้ระบบนี้ล่อให้ศัตรูโจมตีเพื่อดักจังหวะฟันสวนอิสเซ็นได้อยู่ครับ
โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า Onimusha 2 นั้นมีระบบการเล่นที่ค่อนข้างเรียบง่ายหากคุณเทียบกับเกมแอ็กชันหลายเกมในปัจจุบัน เพราะว่าคุณมีการโจมตีธรรมดาที่ไม่มีการสลับคอมโบ มีการโจมตีด้วยเวทประจำอาวุธหนึ่งท่า มีการกดท่าพิเศษประจำอาวุธหนึ่งท่า และท่าชาร์จโจมตีของอาวุธแต่ละชิ้นสามระดับด้วยกัน
แต่ถึงอย่างนั้นผมคิดว่าแฟรนไชส์ Onimusha ก็มีความโดดเด่นในด้านเกมเพลย์จริง ๆ ก็คือระบบโจมตีคริติคัลหรือ Issen (อิสเซ็น) นี่ล่ะครับ ระบบอิสเซ็นนี่เป็นอะไรที่ทำให้เกมยังดูไม่เก่า ดูไม่โบราณ และเป็นระบบเชิง high risk, high reward ที่จะอาศัยทักษะผู้เล่นมากในระดับหนึ่ง และผมเชื่อว่าเกมเมอร์สายแอ็กชันที่ชื่นชอบการเคาเตอร์ศัตรูอย่างรุนแรง หรือรู้สึกฟินทุกครั้งที่ปัดการโจมตีแล้วโต้กลับสำเร็จจะต้องชอบระบบนี้ หรือถ้าไม่สะใจพอก็เล่นโหมดคริติคัลที่ต้องอิสเซ็นเท่านั้นศัตรูถึงจะตายก็ได้ เกมจัดมาให้พร้อม
ในส่วนของระบบความสัมพันธ์ในเกมนั้น อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในพรีวิวว่าภาคนี้เราจะมีเมืองฮับ (hub) ในช่วงต้นเกมคือเมืองอิมาโช ที่จะผสมองค์ประกอบเกม RPG แบบเบา ๆ เพราะคุณสามารถเก็บทองเอาไว้ไปซื้อไอเท็มเพื่อมอบให้กับพรรคพวกในร้านเหล้าเพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบระบบนี้อยู่เหมือนกันเพราะมันทำให้เกมหลากหลายขึ้น และเพิ่ม replay value ได้จากบรรดาอีเวนต์ที่ต่างกันอย่างที่บอกไปแล้ว ซึ่งก็รวมถึงการได้เล่นเป็นตัวละครอื่น ๆ หากค่าความสัมพันธ์สูงถึงกำหนดด้วย
หากจะมีสิ่งที่ผมเสียดายตั้งแต่สมัยเกมต้นฉบับก็คือ สุดท้ายแล้วระบบความสัมพันธ์รวมถึงเมืองอิมาโชนั้นจะมีบทบาทแค่ในช่วงต้น ๆ เกม (ช่วงราว ๆ 30% ของเกม) แล้วพอผ่านเนื้อเรื่องไปจุดหนึ่ง เกมก็จะกลับไปเป็นรูปแบบแอ็กชันเต็มตัวเหมือนภาคแรกจนจบโดยที่คุณจะไม่ได้กลับมาที่เมืองอิมาโชอีกเลย ดังนั้นค่าความสัมพันธ์ที่จะเป็นตัวกำหนดอีเวนต์ต่อ ๆ ไปก็จะขึ้นอยู่กับช่วงแรกของเกมนี่ล่ะครับ
ในส่วนของพัสเซิลในเกม ผมคิดว่าทำมาได้เพลิน ๆ ไม่ยากจนเกินไป และส่วนใหญ่พัสเซิลจะมาในแนวการเลื่อนบล็อกเพื่อต่อรูปให้ได้ภายในจำนวนครั้งที่กำหนด หรือบางทีก็จะเป็นการใส่ตัวเลขให้ผลรวมในแนวตั้ง แนวนอนและแนวทแยงทุกแถวมีผลรวมเท่ากัน อะไรแบบนั้น เกมนี้จะไม่มีพัสเซิลประเภทที่ให้คำกลอนหรือคำใบ้มาตีความครับ จะเป็นแนวเหมือนนั่งแก้ตัวต่อมากกว่า โดยพัสเซิลส่วนใหญ่จะไม่มีผลกับเนื้อเรื่อง แต่ถ้าคุณแก้ได้ก็จะได้ของดีมาใช้ ก็เลยเหมือนบังคับกลาย ๆ ว่าต้องเล่นน่ะครับ
ด้าน Quality of Life ในฉบับรีมาสเตอร์นี้ ผมได้เคยพูดถึงไปโดยละเอียดแล้วในพรีวิว แต่ถ้าเอาโดยสรุปก็คือหลายอย่างทำให้เล่นได้สะดวกขึ้นมาก โดยเฉพาะการเคลื่อนที่ด้วยอนาล็อกที่พอคุณดันทิศไหนก็ไปทิศนั้นเลย ไม่ต้องมากดหมุนตัวก่อน แต่ปัญหาก็คือเกมนี้เดิมทีออกแบบมาให้เป็นเกมแบบมุมมอง fixed camera เพราะงั้นหลายครั้งเวลามุมกล้องมันเปลี่ยนนี่จะเกิดอาการงงทิศบ่อย ๆ ครับ อย่างน้อยก็สำหรับผมนะ
การสลับอาวุธโดยไม่ต้องเข้าหน้าจอเมนูนี่ก็ถือว่าดีและสะดวก แต่มันจะไม่เหมาะใช้ในตอนสู้ครับ เพราะว่าตัวเราต้องยืนนิ่งแล้วกดปุ่มทิศทางเลือกอาวุธทีละชิ้น แต่ศัตรูมันไม่ยอมหยุดให้เราเลือก เพราะงั้นสถานการณ์ที่คุณยืนเลือกอาวุธแล้วโดนหวดหน้านี่จะเกิดขึ้นบ่อยแน่นอน สุดท้ายแล้วผมว่าการกดเข้าเมนูสลับอาวุธเหมือนต้นฉบับที่เป็นก็ดูจะปลอดภัยกว่า ถึงอย่างนั้นการที่สามารถสะสมวิญญาณม่วงไว้ใช้ในจังหวะที่ต้องการได้นี่ อันนี้ถือว่าของดีครับ หากคุณเก็บไปใช้กับบอสก็จะชีวิตง่ายขึ้นเยอะ
ฟีเจอร์พิเศษในฉบับรีมาสเตอร์นี้ ผมคิดว่าคงไม่พ้นพวกแกลเลอรีโบนัสมากมายที่มีให้ชมเป็นร้อยรูป ใครที่ชอบดูงานศิลป์ ชอบดูงานออกแบบเกม รับรองว่าจุใจแน่นอน แถมพวกโหมดพิเศษที่เดิมต้องจบหรือต้องทำเงื่อนไขก่อน รอบนี้ก็เปิดมาให้เล่นหมดแต่แรกเลย ทำให้เข้าถึงเนื้อหาทุกอย่างได้ง่ายขึ้นครับ
และก็แน่นอนครับ ถ้าใครที่มั่นใจในฝีมือการเล่นเกมแอ็กชันของตัวเองมาก รอบนี้มี Hell Mode ที่รอคุณอยู่ ส่วนผมนี่คิดว่าไม่น่าจะมีความสามารถพอที่จะเล่นไหวครับ
กราฟิกของเกม
ในส่วนของงานภาพนั้น ถือว่าเป็นการรีมาสเตอร์ที่ทำออกมาได้ไม่น่าเกลียด โมเดลตัวละครมีความคมชัดขึ้นสมกับยุคปัจจุบัน เพียงแต่ว่าจะไม่มีการเพิ่มเติมรายละเอียดเท็กซ์เจอร์ให้มันละเอียดขึ้นเหมือนที่บางเกมทำ แค่ใช้โมเดลเดิมที่แสดงผลได้สมกับยุคนี้เท่านั้น ฉากหลังที่เป็นพรีเรนเดอร์เองก็เป็นในลักษณะเดียวกัน คือทุกอย่างจะเหมือนต้นฉบับแต่คมชัดขึ้นนั่นล่ะครับ ซึ่งตลอดการเล่นนั้นผมไม่เห็นการแสดงผลจุดไหนที่ประหลาดหรือมีปัญหาแต่อย่างใดนะ
ถ้าจะมีจุดที่แอบเสียดายก็คงเป็นพวกฉากคัตซีน CG ที่ผมคิดว่าทีมงานก็คงพยายามเพิ่มความละเอียดกันเต็มที่แล้ว แต่ด้วยเหตุที่ CG ต้นฉบับยุคนั้นมีความละเอียดต่ำเป็นทุนเดิม ทำให้แม้จะรีมาสเตอร์มาแต่มันก็จะยังดูมัว ๆ แตก ๆ อยู่ดี
งานเสียงของเกม
สำหรับด้านงานเสียงนั้น ก็ยกยอดจากต้นฉบับมาทั้งหมดในส่วนของเพลงประกอบเอย เสียงเอฟเฟคต์เอย เลยอาจจะไม่มีแง่มุมเรื่องการปรับปรุงให้พูดถึงมากนัก แต่ก็ต้องบอกว่าของเดิมดีอยู่แล้วด้วยนะ พวกเสียงเอฟเฟคต์ตอนต่อสู้ ไม่ว่าจะตอนดาบปะทะกันดังเคร้ง หรือเสียงฉัวะฉึกตอนโจมตีโดนศัตรูก็ทำออกมาดี รู้สึกได้ถึงคมดาบที่แยกเนื้ออยู่ ยิ่งตอนที่อิซเซ็นได้นี่เสียงฉัวะจะสะใจเป็นพิเศษ
สรุป
Onimusha 2: Samurai’s Destiny Remastered ถือเป็นการรีมาสเตอร์ที่เนื้อหาหลัก ๆ จากต้นฉบับมีให้สัมผัสครบถ้วนไม่ตกไม่หล่น และเพิ่มเติมองค์ประกอบเพื่อความสะดวกเข้ามาพอควรแม้จะแอบติด ๆ ขัด ๆ อยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นเกมคลาสสิกที่หากคุณเคยชื่นชอบต้นฉบับก็หามาเล่นกันให้หายคิดถึงได้เลย และถ้าคุณไม่เคยเล่นเลยก็อยากชวนให้มาลองสัมผัสกับเสน่ห์ของซีรีส์นี้ที่ทำให้หลายคนชื่นชอบครับ