รีวิว 15 ชั่วโมงแรก Avatar: Frontiers of Pandora
สเปกคอมที่ใช้เล่นเกมนี้คือ
Intel(R) Core(TM) i7-10700 CPU @ 2.90GHz 2.90 GHz
NVIDIA GeForce RTX 3070
RAM 32 GB
*ขอขอบคุณทาง Ubisoft สำหรับโค้ดเกมเพื่อการรีวิวครั้งนี้ด้วยครับ
สิ่งที่ต้องถามก่อนเล่น
ผมใช้เวลากับเกมนี้ไปแล้ว 15 ชั่วโมง ผมยังเล่นไม่จบหรอกก็อยู่แค่ประมาณครึ่งทาง แต่ก็มากพอที่ผมจะบอกภาพรวมคร่าว ๆ ของเกมที่อาจจะช่วยให้คุณไปตัดสินใจต่อเองได้
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องที่ว่าเกมมันฟาร์ครายมากแค่ไหน เรื่องสำคัญอย่างแรกที่คุณต้องถามตัวเองก่อนจะเล่นเกมนี้เลย
คุณเล่นเกมบุคคลที่หนึ่งแล้วเวียนหัวง่ายรึเปล่า?
อย่างที่สองคุณเป็นคนที่ทนกับเกมที่มันต้องใช้เวลาปรับตัวกับระบบนานพอสมควรได้มั้ย?
สองอย่างนี้เป็นสิ่งที่คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนจะเล่นเกมนี้ ผมจะอธิบายว่าทำไม
ต้องบอกเป็นข้อมูลเพื่อความแฟร์ก่อนว่าผมเป็นคนที่เล่นแนวบุคคลที่ 1 พอได้ ผมเล่น Fallout หรือ Bioshock นาน ๆ ไม่มีปัญหา แต่มันจะมีเงื่อนไขว่าถ้าผมไปเจอจุดที่มันหาทางไปต่อไม่เจอ หรือ ทางที่มันมืด ๆ วกไปวนมา ผมจะเริ่มมีอาการเวียนหัวไปจนถึงปวดหัวนะครับ เพราะฉะนั้นสำหรับเกมนี้ที่มันจะมีโหมดสำรวจ 2 แบบ คือแบบมีตัวนำทางกับไม่มีตัวนำทาง ผมเลือกแบบแรกเพื่อที่จะเลี่ยงไอ้ภาวะเวียนหัวให้มากที่สุด แต่มันก็ยังเป็นจุดที่ผมต้องมาพูดถึงเรื่องนี้อยู่ดี
ก้าวเท้าเข้าสู่แพนโดรา
เริ่มเลยนะครับ หลังจากที่เกมพ้นช่วงแนะนำตัวละครไปแล้ว มันจะปล่อยคุณออกสู่โลกกว้างของแพนโดรา เกมมันก็จะเริ่มสอนคุณตามสเตปไปเรื่อย ๆ การใช้ Na’vi senses ที่เป็นเหมือนระบบแสกน การใช้โต๊ะคราฟต์อุปกรณ์อาวุธ การหาวัตถุดิบ การปรุงอาหาร คือฟังดูแล้วมันก็เป็นระบบทั่ว ๆ ไป
แต่ประเด็นก็คือในโลกที่โคตรจะกว้างใหญ่แห่งนี้ ตัว Marker กับตัวช่วยนำทางของเกมนี้มันขาดแคลนมาก ความจริงไม่เชิงขาดแคลนนะ แต่มันดูไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไร สมมุติคุณจะหาวัตถุดิบชิ้นนึงมาคราฟต์ธนู มันก็จะขึ้นบอกว่าต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง เราก็กดปักหมุดไว้ แต่มันจะไม่แสดงชัด ๆ บนแผนที่นะครับ มันไม่ให้เราเล่นง่ายแบบนั้น มันจะให้เราเปิดคู่มือ Hunter’s Guide เพื่อดูข้อมูลว่าไอ้วัตถุดิบนี้มันอยู่ตรงไหน มันจะบรรยายประมาณว่าอยู่ตรงแถบแม่น้ำตรงทิศตะวันตะวันออกเฉียงเหนือ ของบลา ๆ ๆ คือเป็นชื่อสถานที่ที่เราไม่คุ้นแล้วเราต้องมาเปิดแผนที่ดูเอาเอง เกมมันจะช่วยเราแค่ว่า ถ้าใช้ Na’vi senses แล้วเจอของสีเหลือง ๆ นั่นคือสิ่งที่เราตามหาอยู่
ตัวเควสต์หลัก เควสต์รองก็เหมือนกันนะครับ คือขึ้นให้เห็นเป็นแสงสีฟ้า ๆ ว่ามันอยู่บริเวณนี้ บริเวณนั้น แต่ถ้าเกิดช่วงแรกที่คุณยังบินไม่ได้ แล้วเป้าหมายมันอยู่บนหน้าผาหรืออยู่ในถ้ำ มันไม่มีระบบบองทางให้คุณนะครับ คือคุณก็ต้องเดินวนหาเอาเองซึ่งบางครั้งไอ้เส้นทางที่จะนำไปให้ถึงเป้าหมาย หลายครั้งมันอยู่ในจุดที่คุณคาดไม่ถึง เพราะมันต้องอ้อมไกลมากตามที่เกมมันบังคับเส้นทางมาให้ สิ่งที่ตามมาคือคุณจะหลงทางง่ายมากครับ
แล้วสิ่งที่มันค่อนข้างซ้ำเติมปัญหานี้สำหรับคนที่เวียนหัวกับการเล่นเกมบุคคลที่ 1 ง่าย ก็คือ การใช้สีของเกม คุณดูการใช้สีของเขา ทั้งสีของป่า สีของพืช UX UI สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในเกมนี้มันจะมีลักษณะสีฟ้า สีชมพูฟุ้ง ๆ แล้วป่าบางเขตถ้ามันเป็นเวลากลางคืนทั้งป่ามันจะเรืองแสงสีฟ้าสีชมพู ถ้าเราดูเป็นหนังมันก็น่าจะสวยมั้ง แต่พอเราต้องเข้าไปเล่นเกมจริง ๆ มันเหมือนคุณเดินเข้าป่าที่ติดไฟนีออนยักษ์น่ะ สีสันมันค่อนข้างจะกระตุ้นให้เรามึนหัวได้ง่าย บวกกับการหาทางไปไม่เจอ มันก็จะชวนอ้วกหน่อย ๆ
อันนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่เจอมาในช่วงแรกประมาณ 3-4 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเกมที่อาศัยการปรับตัวค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ใช่เกมเมอร์ที่ถนัดอ่านภาษาอังกฤษด้วย มันก็ยิ่งเข้าถึงยากมากขึ้น
แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าการที่เขาใส่ตัวช่วยมาไม่เยอะ แล้วอยากให้เราหลงทางในเกมนี้มันเป็นความตั้งใจของทีมพัฒนาด้วย ซึ่งจะนำเราไปสู่หัวข้อต่อไปคือการสร้างโลกในเกม
โลกที่มีรายละเอียดบ้าคลั่ง
ต้องอธิบายก่อนว่าความเป็นโอเพนเวิลด์ของเกมนี้มันจะไม่ใช่ลักษณะที่เปิดทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณไปได้ตั้งแต่ต้น เกมนี้ยังยึดระบบเปิดแผนที่ตามเควสต์หลักครับ ในเกมนี้มันก็จะแบ่งแผนที่ออกเป็น 3 เขตใหญ่ ๆ เขตเริ่มต้นคือ Kingslore ที่จะเป็นป่า เขตที่สองจะเป็นทุ่งกว้าง แล้วเขตที่สามจะเป็นคล้าย ๆ ป่าหมอก สมมุติคุณอยู่เขต 1 คุณต้องเล่นไปจนคุณได้ขี่อีกรานก่อน แล้วก็ทำเควสต์หลักให้ครบคุณถึงจะไปต่อเขตที่สองได้ โอเพนเวิลด์เกมนี้มันทำงานแบบนี้
จุดที่เขาให้ความสำคัญที่สุดเท่าที่สัมผัสมาคือการสร้างโลกของแพนโดราในเกมนี้ เขาใส่รายละเอียด พืช สิ่งมีชีวิต สถานที่ ในระดับที่ต้องใช้คำว่าบ้าคลั่งได้เลย แบบคุณเดินอยู่ในป่าแล้วคุณใช้ Na’vi Senses แสกนไปข้างหน้า ดอกไม้ ต้นไม้ แทบทุกต้นที่คุณเห็นสามารถกดสำรวจได้เลยนะครับ แล้วมันจะไปอยู่ในส่วนที่คล้ายกับวิกิพีเดียในเกม ให้ข้อมูลว่าไอ้พืชนี้มีคุณสมบัติอะไร ชาวนาวีใช้มันทำอะไรบ้าง เขาลงทุนด้านนี้หนักมากจนผมคิดว่าถ้าอีกนิดนึงมันจะกลายเป็นเหมือนโหมด Discovery Tour ที่เขาเปิดให้คนเล่นเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ใน Assassin’s Creed เลย
แล้วสิ่งที่เขาทำให้การสำรวจมันลงลึกมากขึ้นไปอีกก็คือ การโต้ตอบกับพวกพืช สิ่งมีชีวิตในฉาก มันจะมีเงื่อนไขหมดเลย ถ้าคุณอยากจะเด็ดเอาบางส่วนของต้นไม้ไปใช้ปรุงอาหาร หรือ ทำอาวุธ มันจะมีมินิเกมให้เล่นคือเราต้องกดดึงมันให้ถูกทิศทาง ถ้าเราดึงผิดทางซ้ำ ๆ ไอ้ของที่เราได้มันจะคุณภาพลดลง แล้วถ้าอยากได้ของดีจริง ๆ คุณต้องมาเด็ดเอาตอนที่สภาพอากาศมันเหมาะกับไอ้พืชต้นนั้นด้วยนะ สมมติพืชต้นนี้คุณจะได้ผลของมันแบบดีที่สุดก็คือตอนฝนตก คุณก็ต้องมาตอนที่มันฝกตกแล้วก็ต้องดึงมันออกมาแบบไม่ช้ำด้วย คุณก็จะได้ของมีคุณภาพจริง ๆ ซึ่งมันจะไปส่งผลกับคุณภาพของอาหารที่คุณทำ อาวุธที่คุณสร้าง ยิ่งคุณใช้ของดี สิ่งที่คุณสร้างคุณภาพมันก็จะดีตามไปด้วย
ตอนล่าสัตว์ก็เหมือนกันครับ คุณต้องดูตั้งแต่ไอ้ตัวที่คุณจะล่ามันเป็นเบบี๋ มันโตแล้ว หรือมันโตเต็มวัยรึยัง ยิ่งพวกตัวโต ๆ มันก็จะมีจำนวนน้อย ฆ่ายาก แต่ให้ของดีกว่าพวกตัวเล็ก แล้ววิธีการฆ่ามันไม่ใช่สาดกระสุนใส่อย่างเดียวนะครับ ในเกมมันจะถือว่าเป็นวิธีของพวกคนบนฟ้า พวกป่าเถื่อน สัตว์ที่ถูกฆ่าด้วยวิธีนี้คุณจะเก็บทรัพยากรอะไรจากมันไม่ได้เลย ชาวนาวีจริง ๆ เวลาล่าสัตว์จะต้องใช้อาวุธนาวีเท่านั้น คือพวกธนู พวกหอก แล้วการฆ่าก็มีซอยย่อยลงไปอีกคือ ฆ่าแบบมีเมตตาคือโจมตีใส่เฉพาะจุดอ่อน กับฆ่าแบบ Clean Kill คือยิงดอกเดียวตาย ถ้าทำได้วัตถุดิบที่เก็บก็จะมีคุณภาพสูงขึ้นนะครับ
แล้วที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือในแง่ของกราฟิก ผมเล่นบน PC ด้วยคุณภาพกราฟิกที่อยู่แค่ระดับสูงนะครับ ถ้าถามว่าภาพมันเน็กซ์เจนมั้ย ก็ต้องว่าใช่ครับ นี่เป็นเกมที่สวยและอลังการ โดยเฉพาะตอนที่เราบินบนฟ้าแล้วเราเห็นป่าข้างล่าง เราเห็นพวกแท่นหินยักษ์ลอยกลางฟ้า แล้วทุกที่เราสามารถไปสำรวจได้อีก
สิ่งที่เล่าไป ทั้งเรื่องฉากที่มันมีรายละเอียดเยอะและแน่นมาก กับพวกเงื่อนไขในการตอบสนองกับสิ่งแวดล้อมในเกมคุณจะรู้สึกถึงความหมกมุ่นบางอย่างของทีมพัฒนาที่เขาอยากจะให้โลกในเกมนี้มันสามารถล่อคุณให้ใช้เวลากับมันได้นานที่สุด เพราะฉะนั้น NPC ในเกมนี้มันจะให้สูตรการทำอาวุธ ชุด อุปกรณ์กับคุณมาเยอะมาก เพื่อล่อให้คุณไปใช้เวลาหาวัตถุดิบในเกมมาทำของสวมใส่พวกนี้แหละ
มาในส่วนตัวละครของเรากันบ้างนะครับ ว่าสามารถปรับแต่งอะไรได้บ้าง ผมคิดว่าเขาทำออกมาได้หลากหลายดี ถ้าใครเป็นสายแต่งตัว อัปเกรดอาวุธน่าจะชอบ เพราะอุปกรณ์ในเกมนี้มันมีของเสริมหมดนะครับ อย่างธนูก็มีเครื่องรางให้ติด มีกระบอกใส่ธนู ถ้าเป็นปืนก็มีลำกล้อง มีแมกกาซีนให้หามาใส่เล่นกัน ผมคิดว่าเรื่อง Customization ของเกมนี้ ไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นวิถีการหากินหลักช่องทางนึงของ Ubisoft อยู่แล้ว คือเขาเตรียมหน้าร้านไว้ชอปเครื่องแต่งตัวให้คุณตั้งแต่วันแรกเลย
ต่อสู้อย่างนาวี
แต่จุดอ่อนของเกมนี้ ซึ่งความจริงมันไม่น่าจะเป็นจุดอ่อนได้เลยก็คือระบบการต่อสู้ครับ
ระบบต่อสู้ของเกมนี้ พูดตรง ๆ เลยว่าน่าผิดหวังนิดหน่อย ในคลิปพรีวิวตัวก่อนหน้านี้ผมบอกว่าศัตรูมันอยู่ในระดับความยากปานกลาง แต่พอมาเล่นจริงผมรู้สึกว่ามันยาก แล้วส่วนหนึ่งมันไม่ใช่ความยากที่มาจากศัตรูมันเก่งด้วยนะ มันเป็นความยากจากการมองครับ ในเกมนี้เรารับบทเป็นชาวนาวีซึ่งตัวมันก็ใหญ่กว่ามนุษย์ แล้วพอคุณสู้กับศัตรูที่มันเป็นพลทหารธรรมดาแบบไม่ขี่หุ่นน่ะ มันหาตัวยาก ปัญหาเรื่องสีกลับมาอีกแล้วนะครับ เพราะชุดมันพรางตัวกับสภาพแวดล้อมอย่างเนียนครับ
แล้วปัญหามันยิ่งหนักเพราะว่าเกมนี้ติด Alert ง่ายมาก แล้ว AI ก็เรียกกำลังเสริมอย่างไว การต่อสู้แบบเปิดหน้าลุยมันเลยเป็นอะไรที่มันดูวุ่นวาย ใครยิงเราจากมุมไหน ทิศทางไหนมันดูยากไปหมด มันก็ชัดเจนเลยว่าถ้ามาสายลอบเร้นจะดีที่สุด
อีกเรื่องคือ เท่าที่เล่นมาผมเจออาวุธระยะประชิดแค่สองอย่าง คือมือและตีนของเราเอง แล้วท่า Take Down ศัตรูเหมือน Far Cry ก็น้อยมาก ท่าที่เห็นบ่อยก็คือท่าที่เราดึงพวกมนุษย์ออกจากหุ่นยนตร์ที่ขับ
ส่วนความหลากหลายของศัตรูก็ไม่ค่อยน่าประทับใจครับ ศัตรูที่เป็นมนุษย์ในเกมหลัก ๆ เจอมาแค่ 3 แบบ ในตอนนี้นะ คือพวกพลทหารราบ พวกขี่หุ่น กับเครื่องบิน ไปหลัง ๆ เขาก็ใช้วิธีแบบพลทหารจากถือปืนกล ก็ไปให้ถือ RPG หุ่นยนตร์ก็ใช้โมเดลเดิมติดปืนพ่นไฟเข้าไป ติดเกราะให้มันเข้าไป
ระบบต่อสู้มันดูไม่ได้ถูกให้น้ำหนักความสำคัญเท่ากับการสร้างโลกเลย แล้วมันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ก็คือเกมนี้เน้นการสำรวจ คุณสำรวจเพื่อจะเอาวัตถุดิบดี ๆ ไปทำของ คุณได้ของดีมาก็ต้องเอาไปใช้ต่อสู้กับศัตรูที่มันมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น วนลูปไปเรื่อย ๆ แต่พอระบบต่อสู้มันเฉย ๆ ค่อนไปทางน่าเบื่อ แล้วคุณจะสำรวจไปทำไม นอกจากคุณเป็นแฟนเดนตายของซีรีส์นี้แล้วอยากเข้าไปเสพบรรยากาศก็พอ
สรุปเบื้องต้น
ด้านเนื้อเรื่องเนื่องจากยังเล่นไม่จบ เลยพูดอะไรได้ไม่เต็มที่ แต่จากประสบการณ์ตลอด 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา มันวนเวียนอยู่แต่เรื่องมนุษย์แม่งเลว เห็นแก่ตัว ทำลายธรรมชาติ คือมันก็มีใส่มนุษย์ที่อยู่ฝ่ายนาวีเหมือนกัน แต่มันเหมือนกับเขาใส่มาเป็นไม้กันหมาว่า เนี่ย ก็ไม่ได้มองมนุษย์มิติเดียวนะ มนุษย์ที่รักธรรมชาติก็มี แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้ามันไม่มีพัฒนาการของตัวละคร ไม่มีปมดราม่า แล้วสิ่งนี้มันก็ยิ่งไปย้ำอคติที่ผมไม่ค่อยซื้อซีรีส์นี้ เพราะมันดูเป็นซีรีส์เน้นขายนวัตกรรมของภาพมากกว่าที่จะไปลงทุนด้านบท ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกตั้งแต่เข้าโรงหนังไปดูอวตารภาคแรก
เพราะฉะนั้น 15 ชั่วโมงที่ใช้ไป ถ้าให้สรุปตอนนี้ก็คือเกมมันก็พยายามจะขายสิ่งเดียวกันที่หนังมันพยายามจะขายน่ะครับ คือ เรื่องภาพ เรื่องของการสร้างโลก ความพยายามที่จะทำให้เราว้าวไปกับวิถีชีวิตของชาวนาวีเผ่าต่าง ๆ จนผมไม่แน่ใจว่าผมกำลังเล่นเกม หรือ ผมกำลังดู National Geographic ประมาณนี้ครับ สำหรับรีวิวอินโปรเกรสของอวตาร ยังไม่เคาะคะแนนนะครับ เดี๋ยวเล่นจบจะมาทบทวนอีกที