Games Reviews

Flashback 2 – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Flashback 2 – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ripples Asia มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

Flashback นั้น เป็นชื่อของเกมที่เคยสร้างความฮือฮาในครั้งแรกที่วางจำหน่ายบนปีค.ศ.1992 บนเครื่อง Amiga ก่อนที่จะได้รับการพอร์ตไปลงเครื่องอื่น ๆ ในเวลาต่อมา สิ่งที่ทำให้หลายคนชื่นชอบก็คือธีมเรื่องแนวไซไฟที่น่าติดตาม และการเล่นในลักษณะคล้าย Prince of Persia ซึ่งใช้เทคนิคโรโตสโคปจึงทำให้การเคลื่อนไหวนั้นไหลลื่นแม้ว่าจะเป็นภาพ 2D ก็ตาม

กาลเวลาผ่านไป หลายคนเฝ้ารอภาคต่อของเกมนี้ ที่แม้ในทางเทคนิคแล้วตัวเกมจะมีภาค Fade to Black ซึ่งดำเนินเรื่องราวต่อเนื่องจากภาคแรกในปีค.ศ.1995 แม้รูปแบบการเล่นจะเปลี่ยนไปแต่เสียงตอบรับก็ยังคงล้นหลาม ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ได้ใช้ชื่อเป็นภาค 2 อีกทั้งในปีค.ศ.2013 ก็มีการนำเอาเกมภาคแรกมารีเมกให้ทันสมัยขึ้นไปแล้วหนึ่งรอบ พอมาในปีค.ศ.2023 นี้ Flashback 2 ก็ได้คลอดมาให้เล่นกันเสียที แต่ทว่า…


เนื้อเรื่อง

ในเกม Flashback 2 นี้ ผู้เล่นจะรับบทเป็นคอนราด บี. ฮาร์ต (Conrad B. Hart) เจ้าหน้าที่หนุ่มแห่งหน่วยงานสืบสวนกลางแห่งกาแล็กติก (Galactic Bureau of Investigation หรือ GBI) ผู้ที่ในเกมภาคแรกเขาล่วงรู้แผนสมคบคิดที่เหล่ามนุษย์ต่างดาวซึ่งมีความสามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างตนเองที่เรียกว่ามอร์ฟ (Morph) จะคุกคามโลก เขาจึงฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนท้ายที่สุดได้เดินทางไปยังดาวของเหล่ามอร์ฟ และทำลายมาสเตอร์เบรน (Master Brain) ลง ส่วนเขาก็หลบหนีออกมาด้วยยานอวกาศ แต่ด้วยความที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งดาวโลกได้ จึงตัดสินใจเข้าเครื่องจำศีลแล้วปล่อยยานล่องลอยไปโดยหวังว่าจะมีใครมาพบเจอ

ซึ่งในเกมภาคนี้ เนื้อหาจะต่อเนื่องจากตอนจบของภาคแรก (โดยที่ทำราวกับว่า Fade to Black ไม่เคยมีตัวตน) ซึ่งคอนราดได้สติขึ้นมาแล้วพบว่าตนที่จำศีลอยู่ในยานอวกาศแล้วมุ่งหน้ากลับโลก ดันฟื้นขึ้นมาในอาคารแห่งหนึ่งบนไททัน (Titan) ซึ่งเป็นดวงจันทร์ของดาวพฤหัสฯ โดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่ภายใต้คำแนะนำของ COMBAT AI อย่าง AISHA เขาก็พบว่าหน้าที่ของตนในการขจัดภัยคุกคามของมอร์ฟนั้นยังไม่จบสิ้นลง

เอาล่ะ ในส่วนของเนื้อหานั้น ภาพรวมของมันก็ถือว่าน่าสนใจอยู่ครับ แต่ประเด็นที่ต้องพูดถึงอย่างแรกเลยก็คือตัวเกมมันวางจำหน่ายห่างจากภาคแรกถึง 31 ปีด้วยกัน แต่เกมก็ไม่มีการย้อนความย้อนอดีตอะไรให้คนเล่นทราบเลย ถ้าอยากรู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรคือคุณต้องไปตามอ่าน ตามดูวิดีโอ หรือไม่ก็ไปหาภาคแรกมาเล่นเอาเอง ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าแย่เอาการเนื่องจากเกมจะทำเหมือนกับว่าคนเล่นต้องรู้อยู่แล้ว ทั้งชื่อเฉพาะเอย เหตุการณ์เอย ฯลฯ ไม่งั้นคุณก็จะเริ่มแบบงง ๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก

แต่ถ้าถามว่าหากคุณจำเหตุการณ์ภาคแรกได้ แล้วมันจะทำให้สนุกขึ้นไหม? คำตอบก็คือไม่ครับ ผมรู้สึกว่าพล็อตของเกมนี้มันเปรอะมาก มีการเปิดประเด็นอะไรเอาไว้หลายอย่าง แต่ถึงเวลาก็ไม่ยอมปิดประเด็นแถมยังทิ้งไปเฉย ๆ เลยด้วยซ้ำ เช่น ในหมู่พวกเรามีคนทรยศนะ คนอื่น ๆ ก็รู้แล้วแต่ไม่ทำอะไรแล้วประเด็นนี้ก็ไม่ถูกพูดถึงอีกเลยจนจบ มีประเด็นเรื่องชุมชนคนกลายพันธุ์ที่โดนเหยียด โดนบุกทำลายแต่พวกเขาช่วยให้เราหลบหนีมาได้ แล้วก็ไม่พูดถึงอีก ฯลฯ หลายอย่างในเกมนี้เหมือนว่าทีมสร้างมีไอเดียเยอะมาก ฟุ้งมาก แต่เอาเข้าจริงไม่สามารถหยิบแต่ละอย่างมาเล่นได้เต็มที่ ทำได้แค่แตะผิวเผินให้รู้ว่ามี แล้วก็ทิ้งไปดื้อ ๆ ไม่รู้ว่าด้วยเพราะทุนไม่พอ เวลาไม่พอ หรือฝีมือไม่พอ (เผลอ ๆ ก็ทุกอย่าง)

นี่ยังไม่นับว่าพล็อตหลักของเกมที่ตอบคำถามว่าทำไมคอนราดถึงมาโผล่บนไททันได้อีก พอเฉลยแล้วผมก็นั่งทำหน้าเจื่อน ๆ จ้องทีวีพลางคิดในใจว่าจะเอาแบบนี้จริงเหรอ…?


เกมเพลย์

มันห่วยครับ แต่เพราะนี่คือรีวิวดังนั้นผมจะแจกแจงว่ามันห่วยยังไงบ้าง

สำหรับ Flashback ภาคแรกสไตล์การเล่นจะเป็น 2D Platform คล้าย Prince of Persia อย่างที่บอกไปข้างต้น แต่ว่าตัวเกมจะมีองค์ประกอบการสำรวจเยอะ เพราะคุณจะ progress ต่อในเกมได้ก็ต้องไปคุย ไปเก็บของ แล้วเอาไอเท็มมาใช้ให้ถูกจุด ฯลฯ อะไรแบบนั้น ส่วนของ Fade to Black จะเปลี่ยนแนวมาเป็น 3D Action Adventure ด้วยมุมมองจากด้านหลังตัวละคร

แล้วถามว่า Flashback 2 นี้ รูปแบบการเล่นเป็นไปในรูปแบบไหนล่ะ? คำตอบคือตัวเกมเป็นการผสมระหว่างแอ็กชันแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันกับแนว twin stick shooter ครับ มุมมองเกือบทั้งหมดในเกมจะเป็นมุมมองกึ่ง ๆ เบิร์ดอายวิว ที่คุณเคลื่อนที่โดยใช้อนาล็อกซ้ายแล้วเล็งยิงโดยใช้อนาล็อกขวา และในหลายครั้งคุณจะต้องปีนป่ายหรือโดดข้ามจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง

อย่างไรก็ตามตัวเกมทำออกมาได้ย่ำแย่ครับ อย่างแรกเลยก็คือเฟรมเรตที่ร่วงระนาวกราวรูดชนิดที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเกมที่กราฟิกก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร ถึงทำออกมาได้เกือบจะเป็นสไลด์โชว์ทั้งเกมแบบนี้ ไม่ว่าจะตอนวิ่งเฉย ๆ ตอนสู้กับศัตรู ฯลฯ ไม่มีตอนไหนเลยที่เกมมันเล่นได้แบบเรียบลื่นแบบที่ควรจะเป็น

อย่างที่สองก็คือเกมนี้คุณจะวิ่งชนกำแพงที่มองไม่เห็นตลอดทั้งเกม นั่นแปลว่าตัวเกมจะไม่มี fall damage ไม่มีจังหวะที่คุณจะตกเหวตายอะไรแบบนั้น เพราะงั้นทั้งเกมถ้ามีตรงไหนที่เดินลงได้ คุณก็จะได้เห็นอะไรตลก ๆ แบบเราวิ่งลงช่องลิฟต์ที่สูงแบบตึกสามสี่ชั้นแล้วลงมาวิ่งต่อได้สบาย ๆ แล้วพวกกำแพงที่มองไม่เห็นนี่หลายครั้งมันก็ทำให้คุณวิ่ง ๆ อยู่แล้วติดชะงักกับที่บ่อย ๆ ยังไม่นับว่าผมเจอเหตุจมพื้นเนือง ๆ ทั้งเกมอีกนะ

ตั้งแต่ต้นจนจบเกม ผมไม่รู้สึกว่าเกมนี้มี progression ในแง่ของการเล่นเลย ปืนที่เรามีใช้ก็มีกระบอกเดียวทั้งเกม ไม่มีให้เปลี่ยน ไม่มีให้อัปเกรด เต็มที่คือมีกระสุนให้เก็บนิดหน่อยระหว่างทางที่ใช้ได้จำกัด พลังชีวิตก็มีเท่าเดิม บาเรียก็เท่าเดิม อาจมีเกราะให้เก็บหน่อยช่วงกลางเกม แต่มันก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น รูปแบบการสู้ รูปแบบการสำรวจมันเหมือนเดิมเลย

โดยส่วนตัวผมคิดว่าเกมที่เน้นการสำรวจนี่ กุญแจสำคัญของหลายเกมก็คือการที่เราได้ความสามารถใหม่ ๆ มาใช้เพื่อไปต่อในจุดที่เดิมเราไปไม่ได้ แต่เกมนี้ไม่มีแบบนั้นครับ นอกเหนือจากช่วงแรกที่ให้เราเทียวไปเทียวมาระหว่างเมืองได้ (ซึ่งก็เล็กมาก) เกมก็จะนำเสนอแบบ linear ชนิดตรงแด่วไปยันจบเลย ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไม Flashback 2 ถึงออกแบบเกมมาอย่างนี้ในยุคที่เกมอื่น ๆ เขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว

แล้วพอเกมมันไม่มีระบบ progression อะไร การตระเวนสำรวจมันก็เลยไม่มีคุณค่าไม่มีรางวัลอะไรให้แก่คนเล่นครับ ไม่ว่าคุณจะลองพยายามออกนอกเส้นทางที่กำหนด ปลายทางสิ่งที่คุณจะเก็บได้ก็มีแค่พวก cube ที่บอกเล่าลอร์ของเกม หรือไม่ก็กล่องพยาบาลเติมพลัง (และแน่นอน ไปช่วงท้ายเกมผมมีเหลืออยู่ราวสี่สิบห้าสิบกล่อง)

ตลอดทั้งเกมนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าทีมสร้างมีไอเดียอะไรเยอะแยะมากมายที่อยากจะต่อยอด แต่ทำได้ไม่ถึงที่วาดฝันเอาไว้ มันเลยออกมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนนำเสนอเมคานิคใหม่ ๆ อะไรขึ้นมา แล้วพอพ้นช่วงนั้นก็ทิ้งระบบไปเลย ไม่มีการหยิบยกมาใช้อีก อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าช่วงต้นของเกมที่เปิดให้เราเดินทางไปมาในแต่ละเมืองได้ ตัวเกมก็นำเสนอด้วยระบบการขับรถไปบนเส้นทางตรง แค่ว่าบนถนนก็มีรถคันอื่นประปราย คุณชนรถพวกนี้ได้ แต่ก็ไม่ส่งผลเสียอะไร ไม่เกิดประโยชน์อะไร (แถมมีโทรฟี่อีกต่างหาก) แล้วพอจะเปลี่ยนเมืองทีก็ต้องมาขับรถที แทนที่จะให้กดเลือกแล้วไปเมืองที่ต้องการเลยก็ไม่ยอมทำ

เท่านั้นไม่พอ เล่นไปอีกสักพัก เกมก็จะทำการใส่เมคานิคของการขับหุ่นยนต์สู้กันในแบบ 2D Fighting ง่าย ๆ เข้ามา แล้วพอสู้เสร็จก็จะไม่มีการใช้งานระบบนี้อีกเลยจนจบเกม แล้วที่สำคัญคือพอไปช่วงใกล้จบเกม จากเดิมที่เล่นในมุมกล้องเบิร์ดอายวิวมาทั้งเกม จู่ ๆ เกมก็ปรับไปเป็นมุมกล้องมองจากด้านหลังครับ ผมเข้าใจว่าทีมงานอาจจะอยากใส่อะไรมาเป็น easter egg เข้ามาให้คนที่เคยเล่นภาค Fade to Black มาก่อน แต่ว่าแทนที่จะประทับใจมันกลายเป็นแย่แทน เพราะเฟรมเรตในช่วงนี้เป็นอะไรที่สาหัสที่สุดของทั้งเกมแล้ว

พวกระบบเกมและเมคานิคต่าง ๆ ที่ใส่ลงมานี่ ผมคิดว่าทีมงานนั้นฟุ้งเกินไป ไอเดียที่อยากใส่นั้นเยอะ แต่ฝีมือไม่ถึง ทุนไม่ถึง เวลาก็ไม่ถึง เลยออกมาแบบหัวมังกุท้ายมังกรแบบนี้ จะไปทางนั้นก็ไม่ดี มาทางนี้ก็ไม่ได้ เลือกทางนู้นก็ไม่เด่น เลยออกมาเละตุ้มเป๊ะไปหมด

อีกจุดหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือระบบการเล่นต่อครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงช่วงไหนของเกมก็แล้วแต่ ถ้าหากมีเหตุที่ทำให้คุณเกมโอเวอร์ (พลังชีวิตหมด) หรือเลือกตัดสินใจอะไรพลาดไป หากคุณเลือก Resume ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคอนราดลุกขึ้นมายืนใหม่จากจุดที่ตายนั่นล่ะครับ แล้วเล่นต่อได้เลย ถ้าคุณสู้กับใครอยู่มันเหมือนพระเจ้าชุบชีวิตคุณเดี๋ยวนั้นให้มายิงต่อได้ทันที ถ้าบอสพลังลดไปครึ่งนึง คุณก็ยิงมันต่อจากพลังที่ลดครึ่งนึงไปเลยนั่นล่ะ ไม่รู้ว่าทีมงานตั้งใจหรือไม่ได้เช็คก็ไม่อาจทราบได้ ซึ่งไอ้ระบบนี้ มันเลยจะทำให้เกมเกิดการซอฟต์ล็อคตัวเองขึ้นมา หากว่าคุณเล่นไปถึงจุดที่ตัดสินใจพลาดครับ เพราะเกมจะ progress ต่อไม่ได้ ต้องโหลดใหม่เท่านั้น


กราฟิกและการนำเสนอ

อย่างแรกเลยก็คือกราฟิกมันพอไปได้ แต่บางจุดก็ดูแย่เกินไปเหมือนกัน ผมไม่ได้คาดหวังนะว่าเกมมันจะต้องโมเดลละเอียดเนี้ยบชนิดซูมเห็นเส้นใยผ้าแบบนั้น หรืออย่างน้อยถ้าทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้ ก็ควรปรับปรุงเกมให้เฟรมเรตเสถียรกว่าที่เป็นครับ  สิ่งที่ผมสังเกตเห็นได้อย่างนึงคือเกมจะไม่ยอมตัดฉากซูมใกล้โมเดลตัวละครเลย คงเพราะอยากซ่อนพวกรายละเอียดต่าง ๆ แต่พอบางฉากที่กล้องเข้าใกล้เล็กน้อยคุณก็จะได้เห็นความหยาบของเท็กซ์เจอร์แบบเต็มตา

ด้วยกราฟิกแบบนี้ก็แล้วมีเฟรมเรตร่วงกราวเหมือนเป็นสไลด์โชว์ ผมคิดว่าต่อให้จะสรรหาข้ออ้างข้อแก้ตัวอะไรมาก็ฟังไม่ขึ้นครับ

อีกประการหนึ่งคือพวกอาร์ตเวิร์กทั้งหมดในเกม รวมถึงฉากคัตซีนทั้งหลายเป็นภาพที่วาดโดยใช้ AI ทั้งหมดเลย มองในแว้บแรกอาจจะไม่ทันสังเกต แต่ถ้าดูดี ๆ มันจะมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในภาพให้เห็น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากจุดนี้ก็เลยเป็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างภาพอาร์ตเวิร์กตัวละครกับโมเดลในเกมครับ ตัวละครหญิงในอาร์ตเวิร์กผมยาว แต่โมเดลในเกมดันผมสั้น ตัวละครชายที่อาร์ตเวิร์กก็ผมยาว แต่โมเดลในเกมผมดันสั้นเกือบเป็นทรงบัซคัตอะไรแบบนั้น คืออย่างน้อยปรับภาพอาร์ตเวิร์ก หรือไม่ก็ปรับโมเดลให้มันเหมือนกันหน่อยก็ยังดีแต่นี่ไม่ทำเลย

นอกจากโมเดลกับอาร์ตเวิร์กไม่เข้ากันแล้ว อาร์ตสไตล์งานภาพในเกมยังไม่ค่อยจะเหมือนกันเลยด้วยครับ ฉากคัตซีนนี่ลายเส้นเหมือนเว็บตูนเกาหลี แต่พอเป็นอาร์ตเวิร์กฉากคุยของบางตัวละครดันมีสไตล์เหมือนใส่ prompt ให้เลียนแบบงานของ Shinkiro มาเองเลย ทุกอย่างมันเลยดูกระอักกระอ่วนไปหมด


งานเสียงประกอบ

เพลงประกอบเป็นหนึ่งองค์ประกอบของเกมที่ผมจดจำไม่ค่อยได้ครับ ทั้งเกมไม่มีอะไรที่รู้สึกว่ามันติดหูเลย แต่สิ่งที่อยากพูดถึงมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องเสียงพากย์นี่ล่ะครับ ผมคิดว่าเสียงพากย์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับที่พอได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย (ส่วนหนึ่งก็คือบทสนทนาที่ไม่ค่อยธรรมชาติด้วย) แต่มันก็มีอะไรให้แอบกังขาอยู่

จุดสังเกตอย่างหนึ่งที่ชัดเจนเลยก็คือการเรียกชื่อตัวละครครับ ในเกมจะมีตัวละครที่ชื่อเอียน (Ian) ซึ่งจะคอนราดหรือคนอื่น ๆ ก็เรียกชื่อตัวละครนี้ว่าเอียนเหมือนกัน จะมีก็แต่ AISHA นี่ล่ะที่จะเรียกชื่อตัวละครนี้ว่า “ไอแอน” ตลอดทุกครั้ง แล้วมีบางช่วงที่ผมรู้สึกว่าเสียงพูดมีจังหวะสะดุดไม่ธรรมชาติเหมือนกันครับ เลยไม่แน่ใจว่าเสียงพากย์ของ AISHA นี่ใช้ AI ด้วยรึเปล่า


สรุป

Flashback 2 เป็นเกมที่แย่ครับ แย่ทั้งในแง่การออกแบบเกม แย่ในแง่เพอร์ฟอร์มานซ์ หลายต่อหลายอย่างในเกมชี้ให้เห็นว่าทีมงานมีไอเดียมากมายแต่ด้วยปัญหาอะไรไม่ทราบเลยทำให้ไปได้ไม่ถึงฝั่งฝันที่คิดไว้ ผมเสียดายมากที่ IP นี้พอได้กลับมาอีกทีก็มีอันต้องตายไปในตลาด แต่เวลา 31 ปีจากภาคแรก 28 ปีจาก Fade to Black และ 20 ปีจากภาครีเมกนั้น ก็อาจจะมากพอที่ IP ควรจะได้หลับสงบ ๆ แล้วล่ะครับ

The Review

20% Flashback ที่ back ไปแบบกู่ไม่กลับ

20%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์