ก่อนอื่นต้องขอเท้าความก่อนว่า Rust มีประวัติยาวนานสืบย้อนไปได้ตั้งแต่ช่วง Alpha ปี 2013 มีการอัปเดตคอนเทนต์ ยัดศัตรูใหม่ พัฒนาระบบคราฟต์สิ่งของ ไปจนถึงยกระดับงานกราฟิก กระทั่ง 5 ปี ผ่านไปก็ได้ฤกษ์ปล่อยให้เล่นจริงบน PC แต่กว่าชาวคอนโซลจะได้เหยียบเท้าเข้าสรวงสวรรค์ (?) ของการเอาตัวรอด ก็ต้องรอมาจนถึง 2021 คือปีนี้เลยทีเดียว
บอกล่วงหน้าก่อนครับว่ารีวิวนี้เล่นโดยใช้บัญชีทางฝั่ง EU และต้องขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ripples Thailand
ว่ากันด้วยเรื่องคอนเสป
คอนเสปหลักของเกมชัดเจนตั้งแต่ผ่านไป 10 นาที นั่นคือ การที่คุณต้องเอาชีวิตรอดจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติ คน สัตว์ สิ่งของ
เรื่องราวที่ผู้เล่นจะได้เสพ ก็จะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นกำหนดได้เองแบบสด ๆ ในโลกอันโหดร้ายป่าเถื่อน สำหรับผู้เล่นมือใหม่อย่างผมและน่าจะอีกหลายคน ตัวละครแต่ละตัวจะมีเรื่องราวประมาณว่า “กาลครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งตื่นขึ้นมาพร้อมคบไฟและก้อนหินในมือใต้ผืนฟ้าอันมืดมิด เขาจุดคบแล้วฝ่าความมืดไปตามทางอย่างหนาวเหน็บ ไม่ช้าเขาก็เดินผ่านแปลงฟักทองเจ้าของบ้านแห่งหนึ่ง เจ้าของบ้านออกมายิงเขาตาย” ผมวนนิทานแบบนี้มาสิบกว่าครั้งได้ สิ่งที่ฆ่าอาจเป็นคน สัตว์ อากาศ ความหิว หรือรังสี
ด้วยความที่แผนที่ของเกมมีลักษณะกว้างใหญ่มาก ทำให้มันมีอะไรให้ค้นหาน่าจะได้เกิน 100 ชั่วโมง ขึ้นไป มีทั้งที่ตั้งโรงงาน เขตป่า เขตที่ปกคลุมด้วยหิมะ หรือประภาคารลึกลับกลางทะเล ซึ่งนับเป็นจุดเด่นของเกมที่มอบอิสระให้ผู้เล่นสูง
ผสมผสานคือการเอาชีวิตรอด
หากคุณเคยผ่าน Minecraft มาก่อน โลกของ Rust จะให้อารมณ์ที่คุ้นเคยทันทีตั้งแต่ที่คุณเข้าไป เพียงแต่คราวนี้คุณจะเจอกับสภาพแวดล้อมที่สมจริง แน่นอนว่าทรัพยากรคือหัวใจสำคัญในโลกอันโหดร้ายแห่งนี้ มันมาในรูปแบบของต้นไม้ แร่ พืชผล ปลาในทะเล และอีกมากมาย แม้แต่โชคก็ถือเป็นทรัพยากรแบบหนึ่งที่จะกำหนดว่าคุณจะได้ไปเกิดในตำแหน่งที่สงบสุข มีทรัพยากรและเวลาให้ก่อร่างสร้างตัวได้หรือไม่
ต้องยอมรับว่ามันรู้สึกสนุกกับการเก็บวัตถุดิบบ้างในตาที่โชคอำนวยให้ผมได้พบความสงบสุขช่วงสั้น ๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่าการหาวัตถุดิบทำออกมาได้สร้างสรรค์ดี เมื่อใช้หินก้อนเดียวทุบต้นไม้มันจะขึ้นรูป X และถ้าทุบถูกตรงกลาง ก็จะได้ทรัพยากรมากขึ้น (ชาวคอนโซลจะลำบากกับจุดนี้หน่อย) พอได้ของมาผมก็จะทำขวาน ทำค้อน ไปหาของได้ดีและเร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ผมคงสนุกกับการใช้ชีวิตเป็นวัยรุ่นทำอุปกรณ์ ฆ่ากวาง ตกปลา ไปอย่างสงบ ๆ แต่ความจริงก็คือ นี่เป็น Rust ไม่ใช่ Harvest Moon ทุกวินาทีคือการเอาตัวรอด
เจ้าถิ่น = เจ้าของเกม
แม้เกมจะมีพื้นที่ในการให้คุณได้คิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ สูงมาก แต่แก่นแท้ของการออกแบบของ Rust ก็คือ การเอาชีวิตรอดของผู้เล่นในสภาวะที่คุณอาจตายได้ตั้งแต่ 10 นาทีที่คุณเกิดมาในสภาพกึ่งชีเปลือย ความ toxic และความไม่ไว้วางใจขั้นสูงสุดคือความปกติของเกมนี้ ซึ่งมันก็เป็นพล็อตที่ขายได้ขายดีในสื่อหรือเกมอื่น ๆ นั่นคือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ได้เล่นมา ต้องบอกว่า Rust แทบจะปิดทางเลือกของผู้เล่นเดี่ยวที่ไม่ได้พกเพื่อนมาด้วย และเป็นศัตรูอันร้ายกาจของเกมเมอร์สาย Introvert อย่างแท้จริง
ยังไม่ต้องพูดถึงการสร้างปราการใหญ่โต แค่การทำความเข้าใจในระดับเบื้องต้น เช่น เราจะเกิดมาพร้อมหินหนึ่งก้อนกับคบเพลิง กว่าจะรู้ว่าเราต้องเอาหินไปทุบต้นไม้ ทุบแร่ เพื่อเอาทรัพยากร และการเอาชีวิตรอดจากความหิวโหย น้ำที่เป็นพิษ แม้กระทั่งความมืดในยามค่ำคืนก็ต้องอาศัยเวลาและวาสนามากพอตัว เพราะการตายหนึ่งครั้งคือการสูญเสียสิ่งที่เก็บมาได้ทั้งหมด
ข้อดีที่พูดออกมาได้ไม่เต็มปากคือ จำนวนเซิร์ฟเวอร์และผู้เล่นที่มีคนไม่ขาดสาย ตอนที่ผมเล่นนั้นมีเซิร์ฟเวอร์ประมาณ 50 เซิร์ฟเวอร์ จำนวนคนเฉลี่ยแตะแถว ๆ 50+ (เต็ม 100) พูดได้ว่าไม่มีเหงา แต่ความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตัวเลขที่เยอะหมายถึงคนที่จะคอยช่วยคุณ ฆ่าคุณ ไม่ก็หลอกคุณไปฆ่าเล่น ๆ ก็จะมากตามไปด้วย ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงเราคงเดาออกว่ามันจะเป็นแบบไหนมากกว่ากัน ผมทดลองเล่นและเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์นับสิบรอบ และเกินครึ่งก็คือการตายที่มาจากผู้เล่นอื่นทั้งหมด
เมื่อย้อนดูไทม์ไลน์ของเกม ไม่น่าแปลกใจว่าคนที่ช่ำชองมากกว่าตั้งแต่ครั้งเมื่อเกมเปิดทดลองเล่นช่วง Alpha จะได้เปรียบ และน่าเสียดายว่าเกมไม่ได้สร้างระบบที่จะมารองรับหรือโอบอุ้มผู้เล่นหน้าใหม่ให้มีความมั่นคงมากพอจะเอาตัวรอดในช่วงแรก ๆ ได้ ผมไม่รู้ว่านี่เป็นความตั้งใจแต่แรกของผู้พัฒนาหรือเปล่า แต่จากที่ได้สัมผัสมา Rust ไม่ใช่สนามแข่งที่ผู้เล่นทุกคนมีต้นทุนเท่ากัน ถ้าคุณช้า ไม่มีเพื่อน หรือ ไม่รู้ว่าต้องทำของอะไรก่อนหลัง คุณมีสิทธิ์ได้เกิดใหม่สูงมาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเกมไม่ได้ให้คำแนะนำมือใหม่มากพอ (แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ)
แต่ถ้าคุณอุทิศชีวิตและเวลาเข้าไป สักวันคุณก็จะได้ไปอยู่ในจุดที่คุณสามารถเอาปืนยิงจรวดมาไล่สอยผู้เล่นเกิดใหม่หรือบังคับให้ทำอะไรตามที่คุณต้องการได้ รสนิยมใครรสนิยมมันครับ
สรุป
จุดเด่นของ Rust คือการให้อิสระแก่ผู้เล่นทั้งในมิติของเกมเพลย์คือการคราฟต์ รวมถึงแผนที่อันใหญ่โต และด้านจิตวิทยาในการเจรจากับผู้เล่นอื่น (ย้ำว่าถ้าคุณโชคดีน่ะนะ) มันคงเป็นเกมที่สนุกในระดับหนึ่งถ้าคุณเอาชีวิตรอดจากช่วงเริ่มแรกของเกม และสร้างเนื้อสร้างตัวได้ระดับหนึ่ง ซึ่งผมไม่ใช่…
เพราะฉะนั้น ก่อนที่คุณจะก้าวเท้าเข้าไปในโลกแฟนตาซีแนวเซอร์ไววัลของ Rust ลองถามใจตัวเองดูว่าคุณมีเวลามากพอที่จะอุทิศให้กับการทำความเข้าใจระบบของเกม และทนการโดนผู้เล่นกึ่งชีเปลือย หรือ เจ้าถิ่นที่มีปืนคอยมุ่งร้ายทุกครั้งที่เกิดใหม่หรือยัง