Reviews

Assassin’s Creed Mirage – รีวิว [REVIEW]

by Reviewer Ocelot

Assassin’s Creed Mirage – รีวิว [REVIEW]

รีวิว Assassin’s Creed Mirage

นับตั้งแต่เกมที่ชื่อ Warrior’s Creed Valhalla วางจำหน่ายไปเมื่อ 3 ปีก่อน ก็พูดได้ว่าเราห่างหายจากวิถีมือสังหารของ Ubisoft มานานเหมือนกัน แต่ในอีกไม่ช้าครับ เราจะได้หวนกลับสู่เงามืดพร้อม Hidden Blade ไปกับบาซิม และการผจญภัยในเมืองที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางแห่งความรุ่งเรืองและอู่วัฒนธรรม คือ แบกแดด ศตวรรษที่ 9

และนี่คือรีวิวฉบับเต็มแบบไม่สปอยล์ของ Assassin’s Creed Mirage โดยผม Reviewer Ocelot และต้องขอบอกว่ารีวิวนี้มาจากประสบการณ์ที่ได้เล่นเกมจบไปแล้วหนึ่งรอบบนเครื่อง PS5 ครับ

ก่อนจะไปในส่วนรีวิว ผมบอกตามตรงว่า ก่อนที่จะได้เล่น Mirage ผมมองว่านี่เป็นเกม Assassin’s Creed ภาคที่ผมแอบเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เพราะแต่เดิมสารตั้งต้นของ Mirage ทาง Ubisoft เขาอยากให้เป็นแค่ภาคเสริมของ Valhalla แต่สุดท้ายมันก็มีการตัดสินใจหันหัวเรือให้ไปเป็นเกมเต็มที่เล่าอดีตของบาซิมเลย เพราะฉะนั้นส่วนตัวผมนะเกมภาคนี้มันเลยมีสถานะกึ่งกลางระหว่างความเป็นภาคหลักและภาคเสริม

แล้วด้วยราคาที่ตั้งเอาไว้ถูกกว่ามาตรฐานเกมส่วนใหญ่ คำถามที่มันตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ปริมาณและคุณภาพคอนเทนต์ในเกมจะคู่ควรกับราคาที่ตั้งเอาไว้รึเปล่า มันจะเต็มอิ่มมั้ย หรือ มันจะเป็นแค่ตัวคั่นเวลาของภาค Codename Red

สิ่งที่ประทับใจ

เอาล่ะ งั้นก็มาเริ่มกันเลย กับความรู้สึกภาพรวมที่ผมมีกับเกมนี้หลังจากเล่นจบ เอาประสบการณ์ประมาณ 18 ชั่วโมง มาย่อย 18 ชั่วโมงนี่คือตั้งแต่เริ่มเกมจนจบเกมรอบแรกนะครับ เป็นการเล่นเน้นภารกิจหลัก ไม่ทำภารกิจรอง มีเดินเอ้อระเหยบ้าง หลงทางบ้าง ตีไปคร่าว ๆ เต็มที่เลย 16-17 ชั่วโมง ได้

ในภาพรวมผมรู้สึกว่า Mirage เป็นเกมที่ใช้ได้อยู่น่ะ มันสามารถไปปลุกอารมณ์การได้เล่นเป็นมือสังหารยุค Unity ยุค Syndicate ขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ไม่เหมือน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะ Mirage มันจะมีความท้าทายกว่า สิ่งที่มันจะเป็นตัวช่วยให้เราในการต่อสู้กับศัตรูแบบซึ่ง ๆ หน้า แทบไม่ค่อยมี ซึ่งส่วนนี้มันก็ชัดเจนนะครับว่ามันเป็นความตั้งใจของทีมพัฒนาที่อยากให้เราทำภารกิจส่วนใหญ่ในเกม 90% แบบลอบเร้นจริง ๆ มันจะไม่มีมาจิ้มศัตรูแล้วตัวเลข Damage ขึ้นนะครับ จะตัวใหญ่แค่ไหนถ้าโดนเข้าด้านหลังจิ้มจึ้กเดียวตายหมด มันจะมีแค่ศัตรูบางประเภทที่ไม่ตายแต่ก็ไม่ได้เจอบ่อยนะครับ

แล้วผมรู้สึกว่าทีมพัฒนาเขาหาสมดุลระหว่างการจัดสรรทรัพยากรกับศัตรูที่เราต้องเจอได้ค่อนข้างดี อย่างที่ผมเคยบอกไปในพรีวิวของเกมนี้ว่า เขาทำให้เกมเพลย์มันลีนขึ้น อะไรในภาคก่อน ๆ อย่างพวกท่าใน Valhalla ที่มันดูเยอะไปหมด เขาตัดทิ้งหมดเลย เหลือเฉพาะสิ่งที่มันจำเป็นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ, ท่า Assassin Focus ที่ใช้เก็บศัตรูทั้งหมดในคราวเดียว หรือ เครื่องมือต่าง ๆ

เพราะฉะนั้นการที่เขาโฆษณาว่าเกมภาคนี้เป็นการกลับสู่รากเหง้า กลับสู่วิถีของมือสังหาร มือสังหารในนิยามของ Mirage  ไม่ใช่แค่เป็นการกลับไปเน้นเกมเพลย์แบบลอบเร้นอย่างเดียว แต่มันหมายถึงการใช้ทรัพยากรที่เรามีติดตัวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด Mirage น่าจะเป็นหนึ่งในเกม AC ที่ผมใช้ความสามารถกับเครื่องมือที่ให้มารอบด้านมากที่สุดแล้ว

ส่วนหนึ่งที่มันเป็นแบบนั้นได้ก็คืองานออกแบบฉาก การจัดวางตำแหน่งศัตรู จุดซ่อนตัวต่าง ๆ ทั้งในบ้าน ในป้อม ในปราสาท เหมือนมันผ่านการกลั่นกรองมาระดับนึงแล้วว่าต้องบีบผู้เล่นให้ใช้สิ่งที่มีทั้งหมด พอฟังแล้วมันเหมือนจะยาก แต่ผมคิดว่ามันแค่ให้รู้สึกตึงมือนิดหน่อย

ของยากที่แท้จริงคือวิธีหาทางเข้าห้องที่เราต้องไปทำภารกิจ การหาเส้นทางไปถึงเป้าหมายในภาคนี้เอาเรื่องอยู่นะ เพราะหลายครั้งเลยนะครับเกมมันจะไม่บอกเราตรง ๆ ว่าทางเข้าอยู่ตรงไหน แต่เขาจะให้เราอาศัยวิธีการสังเกต เดินหาช่องโหว่ที่จะแทรกซึมเข้าไปได้ หรือ เราจะไปนั่งแล้วแอบฟังชาวบ้านมันคุยกันว่าตรงนั้นตรงนี้มีกำแพงที่ยังซ่อมไม่เสร็จ หรือ บางทีมันโน๊ตวางพอไปอ่านเราถึงจะรู้ว่าไอ้ห้องที่เราจะเข้าน่ะหน้าต่างด้านบนยังซ่อมไม่เสร็จ เราก็ต้องไปอาศัยช่องทางนั้น มันจะประมาณนี้น่ะครับ ซึ่งอันนี้จะมองว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างนึงของภาคนี้ก็ได้

อีกอย่างที่ผมเห็นว่าเขาทำออกมาได้ดีคือการจินตนาการกรุงแบกแดดขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกผมก็เผื่อใจไว้ว่ามันมีฉากเป็นทะเลทราย มันจะออกแบบเมืองมาได้น่าเดินแค่ไหน แต่พอได้เล่นจริง เมืองมันก็ดูมีชีวิตชีวา ด้วยผู้คน ด้วยสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ แล้วเขตที่เขาแบ่งในแบกแดดมันก็มีเอกลักษณ์ของมันค่อนข้างชัด อย่างเขตที่เป็นที่ตั้งของ House of Wisdom หรืออาคารที่เก็บตำราก็จะมีพวกนักวิชาการ มีกวี เพ่นพ่านเต็มไปหมด

แล้วแบกแดดมันจะมีเขตที่เป็นเมืองทรงกลมอยู่ เขตที่อยู่ชั้นในของกรุงแบกแดดยิ่งเราเดินเข้าใกล้ศูนย์กลางของเมือง มันก็เหมือนยิ่งเดินเข้าใกล้ศูนย์กลางของอำนาจ เมืองชั้นในนี่ถ้าเดินเข้าไปถึงเราจะได้กลิ่นความเจริญทันทีเลย อาคารบ้านเรือนก็จะดูเป็นชนชั้นสูง แต่ถ้ายิ่งอยู่ห่างออกจากศูนย์กลางแบกแดด โดยเฉพาะเขตที่บาซิมอยู่ตอนแรกด้านนอกเมืองมันก็มีความเป็นสลัมไปเลย

สำหรับการเชื่อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้เราสามารถปากัวร์ หรือ  ปีนป่าย เขาเชื่อมมาได้ดีนะครับ แต่มันไม่ได้ไร้รอยต่อขนาดที่ว่ากระโดดไปเกาะอะไรก็ติดหมดนะ บางครั้งเราหันองศาไม่ได้เราก็ร่วงเหมือนกัน แล้วอีกอย่างก็คืออย่าคาดหวังอะไรที่มันพริ้วไหวดุจภาค Unity คือบาซิมมันก็พริ้วได้เท่าที่เราเห็นในคลิปที่ปล่อยกันออกมาตอนนี้แหละ เพราะมันสร้างจากฐานของภาค Valhalla มันก็ไปสุด ๆ ประมาณนี้ล่ะครับ

แต่สิ่งที่ผมประทับใจในการออกแบบเมืองแบกแดดมากที่สุดคือ การตีความบอสให้มันเข้าเอกลักษณ์ของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในแต่ละเขต อย่างบอสที่มันกุมอำนาจทางเศรษฐกิจ เราก็จะต้องเข้าไปสืบเรื่องราวในส่วนที่เป็นตลาดใหญ่ แล้วมันก็จะกำหนดวิธีการเข้าหาบอสของเราว่าต้องมีการใช้เงินมั้ย มีการขโมยเล็ก ๆ น้อย ๆ มั้ย มีการติดสินบนมั้ย อะไรแบบนี้น่ะครับ ซึ่งบอสที่กุมอำนาจแต่ละด้านของแบกแดดมันจะมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกันไป วิธีการเข้าหา หรือ ลอบสังหารมันก็จะไม่ซ้ำกันนะครับ

จุดที่บกพร่อง

มาในจุดที่ผมรู้สึกสะดุดจะเป็นเนื้อเรื่องครับ คือถ้าเราแยกเกมนี้ออกเป็นสามช่วงคือ ช่วงเริ่มต้นที่เป็นช่วงฝึกฝน ช่วงตรงกลางที่ออกปฏิบัติการ แล้วก็ช่วงท้ายเรื่อง ไอ้ช่วงกลางเรื่องที่มันเป็นสัดส่วนสักประมาณ 60%-70% ของตัวเกม อันนี้สนุก ไปได้เรื่อย ๆ เลย ส่วนหนึ่งก็เพราะเกมมันจะให้เราออกสืบ ออกล่าหัวพวกบอสแต่ละเขต แล้วมันไม่ค่อยมีเรื่องราวภูมิหลังของบาซิมมาปนเยอะ มันก็มาแนวมือสังหารออกล่าพวกคนชั่ว

แต่พอเกมมันเข้าสู่ช่วงท้ายเรื่องที่มันต้องเริ่มมีการขมวดปม เริ่มต้องเอาเนื้อเรื่องจักรวาลอัสแซสซินส์ครีดมาพูดจริงจัง ตรงนี้ผมคิดว่าคนที่ไม่เคยเล่นเกมซีรีส์นี้มาก่อนเลยจะเริ่มมีปัญหาล่ะ ขนาดผมพอรู้เรื่องราวบาซิมมาบ้าง ตอนเกมมันปิดจบน่ะ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เกมต้องการสื่อ มันเป็นความรู้สึกประมาณว่า เฮ้ย ตอนเล่นเราพลาดอะไรไปรึเปล่า

ส่วนนี้ พูดไปมันก็เหมือนจะเข้าข้างฝ่ายเขียนเนื้อเรื่องของเกม คือถ้าบาซิมมันเป็นตัวละครใหม่ไปเลยผมว่ามันจะออกมาดีมากกว่านี้ แต่ด้วยความที่บาซิมเป็นตัวละครที่มีเรื่องราวเบื้องหลังที่ซับซ้อนรุงรังมาก แล้วการที่ฝ่ายเนื้อเรื่องเขาจะหาทางลง หาทางแลนดิ้งสวย ๆ จนทั้งแฟนหน้าใหม่แล้วแฟนดั้งเดิมแฮปปี้หมดมันยากมาก

ความสัมพันธ์ของบาซิมกับโรชาน มันเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของเกมนี้ แล้วในภาคนี้มันจะนำไปสู่บทสรุปความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์คู่นี้ที่แฟน ๆ Assassin’s Creed น่าจะอยากรู้ว่ามันลงเอยยังไง แต่ลงเอยยังไงก็เรื่องหนึ่ง สิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันขาดอยู่ก็คือ เขาน่าจะขยี้ปมสองตัวละครได้มากกว่านี้ ซึ่งความจริงเขาปูมาตอนแรกได้น่าติดตามนะ

คือโรชานแกจะเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันมากถึงขนาดที่แกตั้งฉายาให้ตัวเองว่า Daughter of No One คือแม้แต่พ่อแม่ตัวเองก็ไม่นับ แต่ตัวบาซิมเป็นคนที่มันอดีตคอยตามหลอกหลอนอยู่ แล้วส่วนที่มันขัดแย้งกันตรงนี้ผมว่าขยี้ได้โดยไม่ต้องไปอ้างอิงเนื้อเรื่องเบื้องหลังของบาซิมมาก ประเด็นคือผมคิดว่าเกมให้เวลาโรชานน้อยไปหน่อย บทสรุปที่มันควรจะเปรี้ยงมันเลยไม่เกิด

ส่วนในแง่ของความคุ้มที่จะเล่นซ้ำหลังจบเกมครั้งแรกผมว่าไม่ค่อยมีเท่าไร อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าพอเขาลดบทบาทความเป็น RPG ลง Replay Value มันก็ลดลงตามไปด้วย มันก็จะเหลืออะไรให้ทำไม่ค่อยมาก เช่น ไปหาสมบัติตามสถานที่ต่าง ๆ เก็บโทรฟี่ เก็บความลับของแต่ละเขตให้ครบ ประมาณนี้ครับ

แล้วก็บาปกำเนิดของ Ubisoft ก็คือพวกบั๊ก พวกแมลง อะไรเหล่านี้ยังมีให้เห็นอยู่นะครับ มีให้อุ่นใจว่า เออ ตูเล่นเกม Ubisoft อยู่จริง ๆ แต่ให้ความยุติธรรมหน่อย คือบั๊กส่วนใหญ่ที่เจอมันจะออกแนวบั๊กที่เกี่ยวข้องกับการแสดงผล บั๊กมุมกล้องที่มันก่งก๊งมองไปทางอื่น บั๊กแบบคุยกับ NPC แล้ว NPC หันหลังให้ มันจะไปทางบั๊กแสดงความบ้งมากกว่าเป็นบั๊กที่ส่งผลกระทบกับเกมเพลย์จนเล่นไม่ได้ หรือ ผมอาจจะโชคดีที่ยังไม่เจอแค่นั้นเอง อีกอย่างคือยังไงเดี๋ยวเขาก็ต้องปล่อยแพตช์มาเก็บงานอีกรอบตอนเปิดให้เล่นอยู่แล้วนะครับ ก็ไปลุ้นกันหน้างานวันเกมออกเลย

สรุป เอายังไงดีกับ Assassin’s Creed Mirage?

กลับไปที่ความสงสัยในเรื่องราคา ปริมาณ และคุณภาพคอนเทนต์ ถ้าเอาพวกนี้ตั้งเป็นโจทย์ ผมคิดว่า Assassin’s Creed Mirage ผ่านครับ พอจะพูดได้ว่าถึงไอเดียเริ่มต้นของมันจะเป็นแค่ส่วนเสริม แต่การลงทุนลงแรงในด้านของเกมเพลย์ การออกแบบฉาก การกลับไปเน้นให้เนื้อเรื่องเป็นตัวนำเกม ทำให้ Mirage ก็มีศักดิ์ศรีมากพอที่จะเป็นเกมแยกเดี่ยวของซีรีส์เกมนึงที่เล่นแล้ว เออ มันบันเทิงใช้ได้

ถึงสุดท้ายมันอาจจะโดนแปะป้ายว่าเป็นภาคคั่นเวลาก่อนที่จะไปปล่อยของใหญ่ใน Codename Red แต่ผมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของทีมงานเบื้องหลัง Mirage โดยเฉพาะสิ่งที่มันสะท้อนออกมาจากงานออกแบบเมืองแบกแดด ที่มันไม่ได้แบกแดดอย่างเดียว แต่มันต้องแบกทั้งเกมเพลย์ แบกทั้งสตอรี แบกความสวยงามอลังการไปพร้อม ๆ กัน

แล้วอย่างที่ผมเคยบอกไปครับ แฟน ๆ Assassin’s Creed ที่เรียกร้องการกลับไปสู่เกมเพลย์เน้นลอบเร้นมานาน ผมยังย้ำอีกรอบว่าไม่อยากให้พลาดภาคนี้ เพราะเราไม่รู้จริง ๆ นะครับว่าเราจะได้เล่นเกม Assassin’s Creed ที่เป็นการลอบเร้นแบบคลาสสิกเข้มข้นอย่างนี้อีกทีเมื่อไร เพราะภาค Jade ที่จะลงมือถือมันไม่ใช่แนวนี้แน่นอน ภาค Codename Red ที่ไปญี่ปุ่นก็ยังมีความเป็น RPG อยู่ ถึงจะมีตัวละครเป็นนินจา แล้วภาคหลังจากนั้นก็มีข่าวว่าจะเปลี่ยนแนวทางของเกมไปเลย อันนี้ก็ต้องรอดูต่อไป

สุดท้ายนี้ สำหรับ Mirage อาจยังเป็นตัวบอกไม่ได้ว่า Ubisoft คืนฟอร์มได้ แต่มันก็เป็นการคารวะ 15 ปี ของซีรีส์ที่จริงใจน่าจะที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว เพราะฉะนั้นหักลบข้อเสียที่ว่าไป ผมให้ Assassin’s Creed Miraeg 7.5 หรือ พูดอีกอย่างก็คือเป็นเกมที่สามารถซื้อราคาเต็มได้ ประมาณนี้ครับ ไปลองเล่นกันดู

แล้วสำหรับใครที่อยากอ่านรีวิวฉบับเต็ม ขอเชิญที่เดิมครับ เว็บไซต์ Thaigamewiki.com ถ้ามีข้อสงสัยหรือคำถามอะไรพิมพ์มาครับ ที่คอมเมนต์ด้านล่าง แล้วสำหรับเกมหน้า มาแล้วครับ ตัวตึงที่สุดของ Sony ประจำปีนี้ Spider-Man 2 ซึ่งเราจะมารีวิวให้ฟังกันวันที่ 16 ตุลาคม เวลาสามทุ่ม พบกันใหม่ในคลิปหน้า แล้วไม่ว่าคุณจะเล่นเกมอะไรอยู่ขอให้เล่นเกมให้สนุก สำหรับวันนี้ต้องไปแล้วจริง ๆ สวัสดีครับ

The Review

75% ถึงจะมีจุดติให้เห็น แต่เกมภาคนี้คือการคารวะ 15 ปี ของซีรีส์ที่จริงใจที่สุด

75%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์