Reviews

รีวิว Rise of the Ronin [REVIEW]

by Reviewer Ocelot

รีวิว Rise of the Ronin [REVIEW]

รีวิว Rise of the Ronin [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Sony Interactive Entertainment Singapore มา ณ โอกาสนี้ครับ

*เวอร์ชันที่ได้เล่นเพื่อทำรีวิวนี้เป็นเวอร์ชันก่อนวางขาย เป็นการเล่นเกมนี้จบในระดับความยากปานกลาง เลือกโหมด Performance ตลอดการเล่น

 

ชมรีวิวเวอร์ชันวิดีโอได้ที่นี่

 

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องของ Rise of the Ronin จะเกิดขึ้นในญี่ปุ่นช่วงยุคบาคุมัตสึ หรือ เป็นยุคที่ญี่ปุ่นกำลังจะเปลี่ยนยุคจากระบบศักดินา เปิดประตูบ้านให้กับชาติอื่น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นยุคที่ภายในญี่ปุ่นมีการต่อสู้ทั้งในสมรภูมิ อุดมการณ์ และความใฝ่ฝันที่แต่ละคน แต่ละฝ่ายต้องการจะกำหนดอนาคตของประเทศให้ไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประวัติศาสตร์ คุณจะได้รับบทโรนิน ที่ตอนเด็ก ๆ คุณและเพื่อนรอดชีวิตจากการกวาดล้างของรัฐบาล และถูกฝึกฝนจนโตมาเป็นโรนินที่แข็งแกร่ง แต่แล้วโชคชะตาก็จะนำพาให้คุณต้องออกเดินทางเพื่อเป้าหมายของตัวเอง แล้วก็ต้องเอาตัวเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองของญี่ปุ่นในตอนนั้น

ถ้าพูดในแง่ของเนื้อเรื่อง Rise of the Ronin มีจุดแข็งคือการเล่าประเด็นการเมืองที่น่าสนใจ อย่างที่ผมบอกไปในพรีวิวว่า เกมนี้การเมืองฉ่ำ หลายคนอาจจะคิดว่าการเมืองมันฟังดูน่าเบื่อรึเปล่า แต่ไม่ใช่สำหรับเกมนี้ครับ

นี่คือเกมที่ผมสนุกกับการได้เห็นความขัดแย้งของแต่ละฝ่าย เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีภาพญี่ปุ่นในยุคใหม่ไม่เหมือนกัน วิธีการที่จะพาประเทศให้เดินหน้าก็ต่างกัน ฝ่ายนึงก็คิดว่าเราจะให้ฝรั่งผิวขาวมันมากดขี่ข่มเหงคนญี่ปุ่นได้ยังไง ส่วนอีกฝ่ายนึงก็คิดว่าแล้วมึงจะเอาดาบซามูไรไปงัดกับลูกปืนใหญ่เหรอ มันก็ต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงปฏิรูปเพื่อให้ญี่ปุ่นมันทัดเทียมกับชาติตะวันตก ซึ่งนี่เป็นอะไรที่ดีมากของเกมนี้

เพราะเมสเสจหลักของเกมนี้คือ การเมืองมันไม่ใช่ขาว-ดำ แล้วกว่าที่ญี่ปุ่นจะพบหนทางของตัวเอง มันก็ต้องผ่านการต่อสู้ การนองเลือดของคนในชาติมากมาย

แล้วที่ผมชอบอีกอย่างนึงก็คือ ตัวละครสำคัญในเกมนี้มีการเติบโตทางความคิด อย่างพวกฝ่ายที่ต่อต้านฝรั่ง เจอที่ไหนฆ่าให้หมด แต่สักพักก็เริ่มมาคิดได้ว่าหรือสิ่งที่ตัวเองยึดถือมันจะไม่ใช่ เพราะมันมีคนบริสุทธิ์ตายมากมาย เป็นโมเมนต์การที่ตัวละครมันค่อย ๆ เรียนรู้ และเติบโตไปเรื่อย ๆ ผมประทับใจกับแง่มุมนี้ของ Rise of the Ronin มาก

แต่

วิธีการเล่าเรื่อง วิธีการผูกปมนำเสนอของเกมนี้มันมีปัญหาค่อนข้างเยอะ ต้องแยกก่อนว่าเนื้อเรื่องที่ผมชมไปมันหมายถึงพวกเมสเสจ บทสนทนา การเติบโตของตัวละคร ส่วนนั้นผมไม่ได้มีปัญหา ผมมีปัญหากับวิธีการเล่า วิธีการลำดับเรื่อง

อย่างที่บอกไปครับว่าตัวเอกในเกมเนี้ยมันก็มีเป้าหมายหลักของตัวเอง ซึ่งถูกบิลด์มาอย่างหนักแน่นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ผมก็คิดว่าเหตุการณ์และตัวละครสำคัญทางประวัติศาสตร์ควรจะทำหน้าที่เป็นแค่เส้นเรื่องรอง แต่เกมนี้ไม่ครับ พอเล่นไปเรื่อย ๆ ผมไปอินกับพวกตัวละครประวัติศาสตร์ ซากาโมโตะ เรียวมะ ไปอินกับการพยายามรับมือกับพวกชาติตะวันตก จนหลายครั้งสงสัยหนักมากว่า ตัวเอกมันจะไม่ทำเป้าหมายหลักแล้วใช่มั้ย กลายเป็นว่าสิ่งที่ตัวเอกมันตั้งเป้าไว้มันกลายเป็นฉากหลัง ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น

แต่ที่มันแย่กว่านั้นอีกก็คือ เวลาเขาพยายามจะเล่าเรื่องส่วนที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของตัวเอก มันรู้สึกถึงความฝืน เหมือนใส่มาแค่ให้รู้ว่าตัวเอกมันก็มีเป้าหมายหลักของมันอยู่ จนพอเกมมันมาถึงบทสรุปเนื้อเรื่องส่วนของตัวเอกผมไม่ค่อยจะอินเท่าไรไม่ว่ามันจะจบแบบไหนก็ตาม อีกส่วนนึงก็เพราะว่าตัวเอกเรามันพูดได้นะ แต่แทบจะไม่พูดเลยตลอดทั้งเกม อารมณ์ร่วมมันเลยไม่ค่อยเข้มข้นเท่าที่ควร

เพราะฉะนั้นในส่วนของเนื้อเรื่อง ถึงภาพรวมเกมนี้ของทีมนินจาจะตัดองค์ประกอบของความเป็นแฟนตาซีออกไปจนแทบไม่เหลือ แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เกมต้องการจะสื่อโดยเฉพาะในมิติทางการเมือง ที่มันสื่อถึงความซับซ้อน สื่อถึงรอยร้าวของผู้คนที่มันแตกแยกกันทางอุดมการณ์ แล้วตัวละครหลักหลายตัวมันเกิดความเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ เติบโตไปเรื่อย ๆ มีช่วงที่รู้สึกมั่นใจบ้าง หลงทางบ้าง คือสิ่งที่ผมประทับใจ Rise of the Ronin มาก เพราะมันไม่ได้ตัดสินขาวดำ ทุกความขัดแย้ง ทุกการเสียสละ นำไปสู่การสร้างชาติญี่ปุ่นให้เข้าสู่ยุคใหม่ทั้งนั้น

ขณะเดียวกันนะ พอเล่น Nioh ภาค 1 2 แล้วก็เกมนี้ ผมก็ได้ข้อสรุปอีกอย่างนึงว่า Team Ninja เล่าเรื่องไม่เก่ง ผูกปมเพื่อให้เนื้อเรื่องมันเดินไปข้างหน้ามันไม่เนียน เห็นรอยต่อ ถ้ามองในแง่ดีก็อาจจะบอกได้ว่าทีมนินจามือไม่ถึง ถ้ามองในแง่ร้ายก็คือ เขาไม่ได้แคร์เพราะไม่ใช่ส่วนสำคัญ แต่ผมแคร์ ก็หักคะแนนจุดนี้ไปนะครับ

ระบบต่อสู้

หลายคนน่าจะมีคำถามวัดใจว่าเกมนี้ยากมั้ย ซื้อมาแล้วมันจะกลายเป็นเครื่องทรมานคนเล่นรึเปล่า ผมก็ต้องตอบว่าหลังจากเล่นเกมนี้จบในระดับธรรมดา เกมนี้ยากครับ แต่เหมือนผู้สร้างเขาก็พยายามจะหาจุดประนีประนอมด้วยการใส่ตัวช่วยเข้ามา

อย่างแรกเลยก็คือเกมนี้เราสามารถทำภารกิจพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คนได้ ข้อดีคือเรามีคนช่วยกันโจมตี สำคัญกว่านั้นคือถ้าตัวเอกเราพลังชีวิตหมด มันจะแค่ล้มลง แล้วเกมก็จะสลับให้เราไปบังคับคนในทีมที่เหลือเพื่อสู้ต่อ หรือจะเอายามาชุบเราก็ได้ และคุณสามารถสลับตัวในระหว่างการต่อสู้ได้ตลอดเวลา แล้วสิ่งนี้จะมีประโยชน์มากในช่วงท้าย ๆ เกมเป็นต้นไป ที่คุณจะเจอกับบอสที่มันมาเป็นคู่เยอะมาก ๆ การมีพวกไปสู้ด้วย อย่างน้อยที่สุดมันสามารถล่อเป้าศัตรูให้เราตัวนึง ให้เรามีโอกาสกำจัดศัตรูไปทีละตัวแบบไม่ต้องโดนมันรุม

แล้วถ้าขนาดมีเพื่อนช่วย ก็ยังไม่ผ่านตายซ้ำตายซาก เกมมันจะมีขึ้นเมนูให้เลือกเลยครับว่าจะปรับระดับความยากมั้ย นี่คือตัวช่วยที่สอง

อีกตัวช่วยหนึ่งคือการเสตลธ์ครับ เกมนี้ให้น้ำหนักกับการลอบเร้นเยอะ มันจะมีอุปกรณ์ที่ทำให้เราเห็นศัตรูผ่านกำแพง แล้วก็มีสกิลท่าลอบสังหารแบบที่สามารถกำจัดศัตรูเป็นกลุ่มได้ในครั้งเดียว ส่วนความฉลาด เอไอเกมนี้ถ้าไปอยู่ด้านหน้ามัน มันจะ Alert เร็ว แล้วพอ Alert มันโจมตีเราแทบจะเดี๋ยวนั้นเลยครับ การโต้ตอบไวมาก แต่บทมันจะโง่มันก็โง่เลยนะ แบบเราสู้กับศัตรูตัวนึงอยู่ แล้วมีไอ้อีกตัวยืนหันหลังอยู่ไม่ไกล มันไม่รู้นะครับว่าเพื่อนมันกำลังสู้กับเราอยู่

นั่นคือสามอย่างที่ผมคิดว่า เกมมันใส่มาเพื่อเป็นตัวช่วยเรา

ถึงแบบนั้น ไม่ว่าตัวช่วยจะเยอะแค่ไหน พื้นฐานที่เป็นหัวใจสำคัญของเกมนี้ก็คือ คุณต้องบริหารค่าปราน (ค่าสตามินาของเกมนี้) ต้องจับจังหวะเป็น ป้องกันเป็น หลบเป็น แพร์รีเป็น คือระบบแพร์รีเกมนี้จังหวะมันจะไม่ง่ายเซกิโร แต่มันจะดีตรงที่คุณไม่จำเป็นต้องปัดป้องทุกการโจมตีของศัตรู สมมุติศัตรูมันตีเราต่อเนื่อง 4 ที ไอ้ 3 ทีแรก คุณจะป้องกันหรือหลบก็ได้ ขอแค่คุณแพร์รีครั้งสุดท้าย หรือ ครั้งที่ 4 ให้โดน ก็จะทำให้ศัตรูชะงักแล้วเปิดช่องให้เราตีสวน

แต่ถามว่าการแพร์รีให้โดนทุกดอกดีมั้ย ดีครับ เพราะมันจะไม่ลดค่าปราณของเรา ทำให้พอศัตรูมันเสียหลัก เราโจมตีใส่มันคืนได้เยอะขึ้น การแพร์รีในเกมนี้ยังสามารถใช้ได้กับการโจมตีแบบจับทุ่ม หรือ การโจมตีระยะไกลด้วย ถ้าเราปัดธนูหรือกระสุนได้อาวุธเราก็จะติดไฟ ทำให้เราชิงความได้เปรียบมากขึ้น

ยังไม่จบ สิ่งที่คุณต้องทำให้ชินในการต่อสู้ของเกมนี้คือ เวลาเราโจมตีไปเรื่อย ๆ ค่าปราณของเรามันก็จะลด แต่ถ้าเรากด R1 ทัน ตัวเอกเรามันจะสะบัดคราบเลือดออกจากดาบแล้วเราจะได้ค่าปรานคืนมาส่วนนึง ซึ่งใครที่เคยเล่น Nioh มาจะเข้าใจระบบนี้ดีว่ามันก็ดัดแปลงมาจากท่า Ki Pulse นั่นเอง

แล้วอีกอย่างก็คือคุณต้องรู้จักการเปลี่ยนกระบวนท่าให้ได้เปรียบศัตรูด้วย เพราะระบบต่อสู้เกมนี้มันจะคล้ายกับ Ghost of Tsushima ที่อาวุธของเราทุกชิ้นมันจะมีกระบวนท่าต่างกัน 3 ท่า ถ้าเราเลือกกระบวนท่าที่มันได้เปรียบศัตรู เวลาเราแพรี่ศัตรูมันจะชะงักนานขึ้น เปิดช่องว่างให้เราฆ่ามันให้ตายง่ายขึ้น

ที่สำคัญที่สุดของที่สุดก็คือต้องอดทนนะครับ บอสหลายตัวคุณต้องยอมตายอาจจะเป็นสิบ ๆ รอบเพื่อจับจังหวะมันให้ถูก ความสนุกมันจะมาจากการที่เราเริ่มเอาคืนบอสจนเราชนะมันได้ มันเหมือนเป็นความฟินในใจ ซึ่งคุณต้องถามตัวเองให้ชัด ๆ นะว่า นี่คือความสุขของคุณรึเปล่า เพราะระบบต่อสู้แบบนี้มันคือจุดขายหลักแล้วมันจะอยู่กับคุณไปตลอดทั้งเกม

ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์ที่เคยเล่น Nioh เล่นเกม โซลส์ แล้วรู้สึกไม่เหมือนเล่นเหมือนมาชดใช้กรรมมากกว่า ก็ไม่เป็นไรนะครับ เพราะพูดตามตรงถึงเกมนี้จะมีตัวเลือกให้เล่นแบบระดับง่าย ผมก็ไม่กล้าแนะนำว่ามันจะง่ายสำหรับคุณจริง ๆ มั้ย เพราะยากง่ายของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกันอีก ผมบอกได้แค่ว่าเกมนี้ ไม่ง่ายครับ โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบสู้บอสที่มันมาเป็นคู่ เกมนี้มีเพียบเลยครับ

มาลงเรื่องของอาวุธให้มากขึ้น ต้องบอกว่าอาวุธในเกมนี้มีเยอะ ดาบซามูไร ดาบปลายปืน ดาบเซเบอร์ ดาบยักษ์ หอก มีเป็นสิบ แล้วแต่ละแบบก็จะมีกระบวนท่า 3 ท่า แล้วในแต่ละกระบวนท่าก็จะมีท่าไม้ตายให้เรากด R1 ค้าง กับสี่ สามเหลี่ยม วงกลม เอ็กซ์ แบบท่าหมุนตัวฟัน ท่าพุ่งแทง เยอะไปหมด

แต่เอาจริง ๆ เลยนะ ตอนเล่นจริงแทบไม่ได้ใช้ไอ้ท่าพวกนี้เลย เพราะอย่างที่บอก สิ่งสำคัญที่สุด การป้องกัน การหลบ การแพรี่ การรู้จังหวะ มีครบก็จบเกมได้ จนเกือบลืมไปเลยว่า ไอ้ท่าพิเศษพวกนี้มันมีไว้ทำอะไร ทั้งที่ชื่อท่ามันเท่มากเลยนะ บทสวดสั่งตายอย่างเงี้ย รถม้ายมโลกยังเงี้ย

แล้วอาวุธกับอุปกรณ์ในเกมนี้ ดูแล้วรู้เลยว่าสืบสันดานมาจากคนสร้าง Nioh แน่นอน มันเยอะชนิดที่ว่าเปิดช่องเก็บของออกมาเหมือนเปิดตารางเอกเซลงานน่ะ คือจะเยอะไปไหน แล้วความแตกต่างมันหยุมหยิม แตกต่างกันในแง่ตัวเลข % แต่ถ้าคนที่ชอบคำนวณแบบต้องใส่คุณสมบัตินี้กี่ % บวกคุณสมบัตินี้กี่ % ก็น่าจะชอบนะครับ แต่วิธีที่ผมใช้เล่นจนจบคือเลือกอะไรก็ได้อ่ะที่มันเป็นสีทอง แล้วตัวเลขป้องกัน ตัวเลขโจมตีสูง ๆ จบ

ต่อมาก็เป็นส่วนของสกิล ต้องบอกว่าการอัปสกิลเกมนี้มันจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือการใช้แต้มปกติ แล้วก็แต้มพิเศษเฉพาะของ 4 สาย ถามว่าเราจะได้แต้มพวกนี้มายังไง ก็ได้หลายทางเลยครับ สู้ศัตรูอัปเลเวลก็ได้ ไปช่วยปลดปล่อยพื้นที่ก็ได้ เพิ่มความสัมพันธ์กับเพื่อนก็ได้ หรือจะใช้ตำราจากการทำภารกิจต่าง ๆ ก็ได้เหมือนกัน

โดยสกิลในเกมนี้เขาจะแบ่งเป็น 4 สายชัดเจน คือ ความแข็งแกร่งก็จะเน้นไปที่พลังโจมตี เน้นทำลายปราณศัตรู สายคล่องตัวเหมาะสำหรับคนอยากเบียวนินจาครับ เน้นไปที่การกระโดด การใช้ตะขอ ดาวกระจาย แล้วก็ลอบเร้น ต่อมาคือสเน่ห์ถ้าคุณอยากเน้นพัฒนาความสัมพันธ์ตัวละคร แล้วก็เพิ่มประสิทธิภาพตอนเล่นเป็นทีมต้องมาสายนี้เลย

สายสติปัญญาเหมาะกับคนที่ชอบทำของ ทำยาเสริมพลัง ทำอาวุธที่ทำให้ศัตรูติดสถานะผิดปกติ เช่น ไฟเผา ติดพิษ

ถ้าถามความเห็นส่วนตัว งานออกแบบสกิลผมคิดว่าค่อนข้างใช้ได้ในแง่ที่ว่า มันไม่ค่อยมีสกิลที่ไร้ประโยชน์ มีสกิลที่เน้นความเป็น RPG คือการพูดโน้มน้าว การพูดโกหก ทำให้เราได้รางวัลเยอะขึ้นในบางสถานการณ์ แล้วสกิลทั้งหมดก็เปิดโอกาสให้เราสร้างบิลด์ของตัวเอง แต่ถ้าจะเอาเล่นง่ายไว้ก่อน ผมแนะนำไปอัปศาสตร์แห่งการรักษาที่สติปัญญาก่อน เพราะมันจะเพิ่มจำนวนยารักษาแล้วก็เพิ่มปริมาณชีวิตที่ฟื้นฟูได้ด้วย

แล้วนี่เป็นเกมแนวโซลส์จากทีมนินจา ที่ไม่มีองค์ประกอบของแฟนตาซีเหมือนพวก Nioh ภาค 1 2 แล้วก็ Wo Long ก็คือไปเน้นความเรียล ความสมจริง ฟันทีแขนขาด หัวขาด เบอร์นั้นเลย แต่มันก็ยังมีอะไรที่ดูเวอร์ให้เห็นอยู่ อย่างการเอาดาบปัดธนู ปัดลูกปืนแล้วดาบเราก็จะติดไฟ หรือ การใช้พวกเครื่องร่อน ก็ยังมีพอให้เห็นอยู่ แต่ในภาพรวมมันเป็นผลงานที่มีลักษณะสมจริงมากกว่าผลงานที่ผ่าน ๆ มาของทีมนินจาอย่างเห็นได้ชัด

สรุปว่า ระบบต่อสู้ของเกมนี้ถึงมันจะไม่มีความแฟนตาซีมากมาย แต่ถ้าคุณชอบรสชาติแบบเกมโซลส์จังหวะเร็ว ชอบดูท่าเผด็จศึกเท่ ๆ โหด ๆ และมีหลากหลายสไตล์ ไรส์ ออฟ เดอะ โรนิน คือเกมประจำเดือนนี้ของคุณครับ ส่วนตัวผมโคตรชอบอารมณ์การเหวี่ยง การฟาดฟันอาวุธของเกมนี้เลย โดยเฉพาะผมเล่นบิลด์แบบพวกไกจินด้วยไง ถือดาบเซเบอร์ ถือปืนพก ไล่ยิงตั้งแต่โจรกระจอกยันซามูไร โคตรเท่ โคตรอันตราย

ขอชมอีกอย่างนึง เกมนี้เราสามารถสู้แบบมือเปล่าได้นะครับ คือเขาออกแบบมาให้ผู้เล่นทั่วไปใช้สู้แทนอาวุธได้จริง ๆ แล้วในบางภารกิจที่มันมีเป้าหมายคือการไม่ฆ่าคน ใช้ดาบไม้ ไม่ก็ใช้หมัดนี่แหละครับโจมตีได้เลย สะใจไม่แพ้กัน

ความเป็น RPG

ต้องบอกว่าระบบสายสัมพันธ์คือหัวใจหลักของความเป็น RPG เกมนี้เลย เท่าที่เล่นมามันจะแบ่งเป็น 3 แบบ คือสายสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายก็คือมีตัวเรา มีฝ่ายต่อต้านโชกุน มีฝ่ายหนุนโชกุน แบบที่สองก็คือความสัมพันธ์กับพวกตัวละคร NPC ในเกม แล้วก็สายสัมพันธ์กับพื้นที่ต่าง ๆ ในเกม

ผมคิดว่าพระเอกจริง ๆ น่ะ คือสายสัมพันธ์กับตัวละครในเรื่อง เพราะเกมนี้ตัวละครที่เราโต้ตอบได้มีเยอะมาก ๆ มันเยอะจนผมอึ้ง คือเล่นไป 20 กว่าชั่วโมง มันยังไม่หยุดแนะนำตัวละครใหม่เลย แล้วแต่ละตัวละครมันจะมีแยกย่อยลงไปอีกคือเกจความสัมพันธ์แบบมิตรสหายเป็นเกจด้านบน ส่วนเกจด้านล่างที่มีรูปกลีบซากุระพูดง่าย ๆ มันคือค่าความโรแมนติก

พูดถึงเกจแรกก่อน ความเป็นมิตรสหายของเรากับตัวละครจะส่งผลกระทบทั้งในแง่เกมเพลย์และเนื้อเรื่อง อย่างลุงอีซึกะ ถ้าเราสนิทกับแกมาก ๆ สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือแกจะช่วยทำให้อุปกรณ์ของเราดีขึ้น ทั้งปืนพ่นไฟ เครื่องร่อน แล้วก็ทุกตัวละครจะมีภารกิจเฉพาะตัวของตัวเองนะครับ มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป

ต้องบอกก่อนว่าที่ผมพูดว่าการพัฒนาความสัมพันธ์ตัวละครมันส่งผลกับเนื้อเรื่อง มันไม่ได้ไปในสเกลถึงขนาดเปลี่ยนผลลัพธ์ของเนื้อเรื่องหลักขนาดนั้น มันแค่จะปลดล็อกบทสนทนาบางอย่างทำให้เรารู้ว่า อ้อ ไอ้นี่มันมีมุมมองแบบนี้ ลักษณะนิสัยใจคอมันเป็นแบบนี้ มันออกไปในแนวช่วยให้เรารู้จักตัวละครที่เราสนใจเยอะขึ้นมากกว่า

ส่วนค่าความสัมพันธ์ที่เป็นเกจด้านล่าง มันคือเกจสำหรับคนอยากจีบตัวละคร จุดนี้เกมเขาไม่จำกัดนะครับ จะจีบผู้ชาย จะจีบผู้หญิง อันนี้เทสต์ใครเทสต์มันเลย วิธีการเพิ่มเกจนี้ก็ง่าย ๆ ครับ คือไปคุยบ่อย ๆ ไปทำภารกิจให้ แล้วก็ให้ของที่ชอบ พอไอ้ค่านี้มันเต็ม มันก็จะปลดล็อกบทสนทนาที่ตัวละครมันเหมือนตกลงเป็นแฟนเรา

แต่ดักคอไว้ก่อนว่าฉากเลิฟซีนเท่าที่เล่นมันยังไม่เจอนะครับ อย่าเพิ่งไปคาดหวังอะไรขนาดนั้น ด้วยจำนวนตัวละครมันเยอะมาก ๆ ผมว่าเขาไม่น่าจะทำไหว น่าจะทำได้แค่ปลดล็อกคำพูดหวาน ๆ

แล้วอีกสิ่งที่ต้องชมเกมนี้เลย ก็คือเกมนี้เขาจะมีระบบไทม์ไลน์ หรือชื่อภาษาในเกมเขาจะใช้ชื่อว่า “ปณิธานแห่งจิตวิญญาณ” ฟังแล้วงงใช่มั้ยว่ามันคืออะไร พูดง่าย ๆ เลยก็คือมันเป็นระบบที่จะให้คุณย้อนเวลา กลับไปในช่วงเวลาเก่า ๆ และภารกิจที่คุณเคยผ่านมาแล้ว ให้โอกาสคุณในการเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองใหม่

สมมุติผมเล่นฉากฉากนึงผ่านมาแล้ว ผมเลือกจะไว้ชีวิตบอสตัวนึง แล้วคุณอยากรู้ว่าถ้าไม่ไว้ชีวิตมันจะเป็นยังไง คุณก็เอาตัวเอกของคุณย้อนเวลากลับไปบุลลี่มันกี่รอบก็ได้ แล้วถ้าอยากแก้เนื้อเรื่องส่วนไหนก็ไปแก้ ปรับระดับความยากได้ด้วย

ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่คนเล่น RPG หลายคนต้องการ เพราะต้องยอมรับนะว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่เล่นเกม RPG อย่างน้อยสามสิบกว่าชั่วโมงจบ แล้วจะมาวนเล่นซ้ำใหม่แล้วเลือกตัวเลือกอื่นเพื่อดูว่าฉากจบอีกแบบมันจะเป็นยังไง Rise of the Ronin บอกว่าไม่ต้อง ไม่จำเป็น คุณเล่นไปเลยรอบเดียวพอ ความยากแค่ไหนก็ได้ แล้วถ้าอยากจะรู้อยากจะเก็บอะไรเพิ่ม มาย้อนเวลาเอาทีหลัง

การทำแบบนี้มันก็จะมีด้านที่เป็นข้อเสียอยู่ ก็คือมันจะเล่นท่ายากไม่ค่อยได้ เพราะมันเหมือนเขาต้องกำหนดเนื้อเรื่องมาระดับนึง ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน ผลลัพธ์มันจะไม่ได้แตกต่างกันมาก ยกตัวอย่าง สมมุติรอบแรกผมเลือกจะเข้าร่วมกับทีมม่วงในภารกิจนี้ ผมก็จะได้เจอกับบอสของทีมเขียว พอผมกลับมาเล่นอีกรอบคราวนี้เลือกทีมเขียวก็จะไปเจอบอสทีมม่วง เล่นจบปุ๊บผมก็ได้เห็นฉากคัตซีนที่มันแตกต่างจากเดิมกันนิดหน่อย

แต่สุดท้ายเท่าที่ลองมาชะตากรรมตัวละครหลักมันก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาก ยกเว้น ยกเว้นตัวละครนึงซึ่งไม่ขอสปอยล์ว่าตัวละครไหน เพราะฉะนั้นถึงเกมนี้มันจะมีฉากจบมากกว่าหนึ่งแบบ แต่ต้องบอกว่าคุณอย่าไปคาดหวังว่ามันจะมีการวางโครงเรื่องมาแบบซับซ้อนระดับ Dragon Age ภาคแรก หรือ the Witcher มันไม่ใช่เสกลนั้นเลยครับ

ความเป็น Open World

อันดับแรกต้องยอมรับว่าเกมนี้มีแผนที่โอเพนเวิลด์ที่ใหญ่มาก แล้วไม่ได้มีแค่เขตเดียว ถ้าดำเนินเนื้อเรื่องไป คุณจะได้ไปเขตอื่นอีก

แม้ว่าโลกในเกมนี้มันจะไม่ได้ดูสวยมาก แต่ในแง่เกมเพลย์มันไม่แย่ ผมพูดให้สบายใจ แล้วในแต่ละพื้นที่มันก็จะมีกิจกรรมให้ทำเยอะ ทั้งปราบโจร ล่าหัวพวกนักโทษหนีคดี เก็บหีบสมบัติ หาแมว ซึ่งนอกจากจะมีเอาไว้เหมือนแฟนเซอร์วิสแล้ว เกมยังมี NPC ทาสแมว ที่จะแลกของกับเรา ตามจำนวนแมวที่เราตามหาเจอ ก็พอจะบอกได้ว่า แมปใหญ่แต่ไม่กลวง ใช้คำประมาณนี้น่าจะได้

อีกอย่างนึงก็คือ พอเล่นถึงกลางเกมบรรยากาศมันจะเริ่มเปลี่ยนไป เราจะเห็นตึก เห็นอาคารมากขึ้น ซึ่งมันจะให้อารมณ์ต่างจาก Ghost of Tsushima ที่เน้นทุ่งนาป่าเขา แต่ญี่ปุ่นในเกมนี้เริ่มมีความเป็นสมัยใหม่ เริ่มมีอาคารทรงยุโรป มีความเป็นเมืองมากขึ้น

แล้วการเดินทางในแผนที่ก็ทำออกมาได้คล่องตัวพอสมควร คือมีทั้งการร่อนจากที่สูง การขี่ม้า ใช้ตะขอเกี่ยวขึ้นหลังคา แล้วเวลาถ้าอยากจะ Fast Travel คุณก็ต้องไปชูธงที่เป็นเหมือน Bonfire ของเกมนี้ แล้วคุณจะสามารถ Fast Travel ได้ตลอดเวลา แล้วใช้เวลาน้อยไม่นานเลย

ถ้าจะมีอะไรให้บ่นก็คือ บ้านเมืองมันดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา คนเดินไปมาน้อย ผมก็ไม่รู้ว่าประชากรญี่ปุ่นในยุคนั้นมันน้อยแบบนี้รึเปล่า แต่เท่าที่ดูคือตึกอาคารมันดูเยอะกว่าคน มันก็จะดูโหลงเหลงเหมือนเมืองร้างนิดนึง

อีกระบบที่ต้องพูดถึงก็คือระบบบ้านครับ คือตัวเอกในเกมนี้จะมีฐานก็คือบ้านของตัวเอง ซึ่งในบ้านมันก็จะมีเพื่อนที่สนิทกับเราแวะเวียนมาหา แล้วบ้านจะมีฟังก์ชันสำคัญมากอย่างแรกเลยคือถ้าคุณอยากจะย้อนเวลา หรือ อยากจะเดินทางข้ามไปแมปอื่นส่วนใหญ่ต้องมาทำที่บ้าน

อีกเรื่องคือถ้าใครรู้สึกอยากจะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาตัวละคร บ้านก็จะมีตัวเลือกนี้ให้กับคุณนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณปั้นตัวละครตอนแรกออกมาแล้วไม่ถูกใจ ไม่เป็นไร เปลี่ยนได้ตลอดไม่เสียเงิน แล้วที่สำคัญก็คือการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของอุปกรณ์ที่เราสวมใส่ สมมุติว่าคุณชอบชุดนี้มากเลย สเตตัสอะไรดีหมด แต่ว่าหน้าตามันไม่ถูกใจ อยากได้อะไรแบบฝรั่ง ก็มาใช้ฟังก์ชันนี้ได้ที่บ้านครับ จะเปลี่ยนหน้าตาอุปกรณ์ของเราเป็นอะไรได้หมดเลย ค่าพลังยังอยู่เหมือนเดิม

แล้วบ้านยังยังมีตัวเลือกให้เราสามารถส่งหมาน้อยของเราออกไปแสวงบุญนะครับ ยิ่งเราฝากเงินให้เยอะ เวลาน้องกลับมา น้องก็จะเอาไอเทมดี ๆ กลับมาให้เราด้วย อีกเรื่องคือ แมวที่เราไปเล่นด้วย มันจะมาอยู่ในบ้านเราด้วย แล้วเราสามารถให้บริการยืมแมวได้ เกมจะแสดงเมนูขึ้นมาเลยครับว่ามีใครบ้างอยากยืมแมว จะยืมนานเท่าไร แล้วของรางวัลที่ได้จะเป็นอะไร มันจะมีบอกหมดเลย

ส่วนที่เหลือมันก็จะเป็นอะไรเล็กน้อยแล้วล่ะ เช่น ตกแต่งบ้าน คุยกับคนที่มาเยี่ยม

ทั้งหมดที่เล่ามานะครับ ผมสังเกตได้อย่างนึงก็คือ Rise of the Ronin และเกมแนวนี้ของ Team Ninja มันจะความพยายามให้ผู้เล่นรู้สึกว่าคอนเทนต์ของเขามันเยอะ อย่างที่บอกไปก็คือ อุปกรณ์ อาวุธ เยอะมาก ภารกิจก็เยอะ แต่พอเอามันมาแยกส่วนดูดี ๆ เราจะเห็นแพทเทิร์นบางอย่างที่มันซ้ำไปซ้ำมา อย่างภารกิจหลักมันก็จะมาแนวเดินหน้าปราบกีกี้ สุดท้ายก็ต้องสู้บอส หรือ เดินหน้าปราบกีกี้ สู้บอสเล็ก แล้วไปสู้บอสใหญ่ มันจะอะไรทำนองนี้น่ะครับ คือเอาปริมาณเข้าสู้

แต่ก็ด้วยการยัดคอนเทนต์แบบสั่งร้อยให้ล้านแบบนี้ตั้งแต่ต้นยันจบเกมนี่แหละ ที่ทำให้เกมมันสามารถพยุงความสนุกของผมไปจนถึงช่วงหลังจบเกมได้ แล้วหลังจบเกม ยังมีคอนเทนต์ใหม่ให้ทำหลังจบเกมอีกนะ แต่ยังไม่ขอบอกนะครับว่ามันคืออะไร

ภาษา/ซับไทย

ทีนี้มาในเรื่องของภาษาบ้าง เกมนี้เท่าที่เขามีให้เลือกจะมีภาษาพูดคือญี่ปุ่นและอังกฤษนะครับ ข้อดีก็คือถ้าคุณซีเรียสกับเรื่องการขยับปากของตัวละคร เกมนี้เขามีการขยับปากของทั้งสองภาษาเลย ถ้าจะให้แนะนำ ไหน ๆ มีซับไทยทั้งที ผมว่าเล่นเกมนี้เลือกเสียงพูดญี่ปุ่นดีกว่า เพราะเซตติงมันคือญี่ปุ่นน่ะ แล้วเวลาซามูไรมันพูดปลุกใจภาษาญี่ปุ่นมันเข้าปากกว่าอยู่แล้ว

ว่าแล้วก็ขอพูดถึงซับไทยเลย เกมนี้เป็นเกมที่ควรจะมีซับไทยมาก เพราะด้วยตัวละคร เหตุการณ์ ฝ่ายนู้นฝ่ายนี้มันเยอะมาก ขนาดเปิดซับไทย ยังจำไม่ค่อยได้อ่ะว่าใครเป็นใคร ส่วนคุณภาพการแปลยังคงมาตรฐานเกมที่มีการแปลภาษาไทย แต่ผมแอบเห็นนิดนึงว่ามันมีจุดที่เขาหลุดเหมือนกันนะ อย่างผมเล่นตัวละครชาย แต่ในบทพูดเรียกผมว่า นาง ซึ่งมันก็เข้าใจได้ เพราะ text ของเกมนี้มันมหาศาลมาก ไม่แปลกที่จะมีหลุดบ้างอะไรบ้าง ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะในภาพรวมยังดีอยู่

ประสิทธิภาพ

ส่วนเรื่องประสิทธิภาพ ต้องย้ำอีกรอบว่าผมเล่นแบบเน้น Performance เอาเฟรมเรตเป็นหลัก เพราะว่ามันสะดวกกับการต่อสู้ในเกมนี้มากกว่า แล้วเวอร์ขันที่ผมเล่นมันยังไม่ใช่เวอร์ชันสมบูรณ์นะครับ ก็ต้องบอกว่าเฟรมไม่นิ่งโดยเฉพาะในเมืองถ้าหันมุมกล้องเร็ว ๆ จะเห็นชัด นี่อาจจะเป็นเหตุผลนึงว่าทำไมวิ่งไปในเมืองแล้วมันไม่ค่อยเจอคน แล้วที่ชัดกว่านั้นคือตอนเราขยับไปมาในบ้าน ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันมีการประมวลผลอะไรอยู่เบื้องหลัง

แต่นี่คือสิ่งที่เจอในเวอร์ชันรีวิวนะ ส่วนเวอร์ชันที่วางขายก็ต้องรอดูรอดูกันต่อไปนะครับ

สรุป

Rise of the Ronin เป็นเกมที่ Team Ninja พยายามจะออกไปสู่โลกกว้าง สู่โลกเพนเวิลด์ ผมคิดว่าเขาทำได้ดีในระดับนึง เนื้อเรื่องเน้นการเมืองเข้มข้นน่าสนใจ ระบบต่อสู้เป็นเกมโซลส์จังหวะเร็วที่สนุกมาก แผนที่ในเกมก็ใหญ่มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ความเป็น RPG อยู่ในเกณฑ์พอสมอบผ่าน ซับไทยโอเคเลย คอนเทนต์อัดแน่น แต่เกมนี้ก็ยังมีปัญหาตรงวิธีการเล่าเรื่อง กราฟิกที่ค่อนไปทางตกยุคหน่อย ๆ คนที่เคยเล่น Ghost of Tsushima มาอาจจะต้องทำใจนิดนึง

The Review

80% เกมแอ็กชัน RPG ที่สนุกแม้จะมีแผลในการเล่าเรื่อง

เกมแอ็กชัน RPG ที่สนุกแม้จะมีแผลในการเล่าเรื่อง

80%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์