News Reviews

รีวิว Stellar Blade [REVIEW]

by Reviewer Ocelot

รีวิว Stellar Blade [REVIEW]

รีวิว Stellar Blade [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดสำหรับการรีวิวจากบริษัท SONY Interactive Entertainment มา ณ โอกาสนี้ครับ

หลังจากฝ่ากระแสดราม่าที่เข้ามาเป็นระลอก อีกเพียงอึดใจเกมเมอร์ทั่วโลกก็จะได้สัมผัสกันกับ Stellar Blade หรือตอนแรกที่เรารู้จักกันในชื่อ Project Eve อีกหนึ่งเกมเอ็กซ์คลูซีฟของ Sony สำหรับเครื่อง PS5 โดยเฉพาะ

แล้วหลังจากเล่นไป 18 ชั่วโมง จนจบ ผม Reviewer Ocelot ขอมากระทำการรีวิวว่าเกม AAA สัญชาติเกาหลีใต้นี้ว่าจะรุ่งหรือร่วง

ขอให้ข้อมูลแบบนี้ก่อนครับว่า ผมเล่นเกมนี้จบด้วยระดับความยากปานกลาง แล้วการแสดงผลในเกมนี้เขามีให้ 3 ตัวเลือกครับ คือ

  1. เน้นประสิทธิภาพเฟรมเรต
  2. เน้นสมดุล
  3. เน้นความคมชัดของภาพ

ซึ่งตลอดการเล่นเพื่อรีวิวนี้ผมเลือกอย่างที่ 2 นะครับ คือเน้นการแสดงผลภาพที่มีความสมดุลระหว่างเฟมเรตและความคมชัดของภาพ

ว่าด้วยเรื่องการขาย…

มาพูดถึงของร้อนกันก่อนดีกว่า ผมว่าเราก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันมากมาย นมตูดกระแทกตาขนาดนี้ รู้อยู่แก่ใจครับว่าเขาจะขายอะไร เอาตรง ๆ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรเรื่องการขายเรือนร่างตัวละครหรอกครับ ใครมีอะไรจะขายก็ขาย อยากขายความหลากหลายก็เอาเลย แล้วปล่อยให้คนทั่วไปเขาได้ตัดสินได้วิจารณ์กันไป

สำหรับเกมเต็มของ Stellar Blade ผมว่าเขาก็ขายจุดนี้หนักพอสมควร คือตัวละครหญิงในเกมนี้ ไม่ว่าจะบทเด่นหรือเป็นตัวประกอบหุ่นแซ่บหมด หรือ ถ้าไม่หุ่นทรงอีฟไปเลย ก็ต้องเป็นอีกทรงนึงที่ก็จะตรงใจกับผู้เล่นอีกกลุ่ม แล้วการใช้มุมกล้องในหลาย ๆ ฉาก มันก็ถึงเนื้อถึงตัวเหมือนกัน จุดนี้ผมเดาว่าอาจจะเป็นดราม่าอีกระลอกนึงของฝั่งที่เขาไม่แฮปปี้กับการทำอะไรแบบนี้กับตัวละครหญิงในเกม ก็ต้องมารอดูกันต่อไปครับ

แต่สิ่งที่ไม่ควรละเลยก็คือ เขาปั้นอีฟออกมาให้เป็นตัวละครที่มีลักษณะนิสัยใจคอยังไง จากตัวอย่างเกมเพลย์ที่เห็นช่วงแรก ๆ ตอนต่อสู้น้องก็ดูโหยหวนเหลือเกิน ผมก็เตรียมใจว่าอีฟจะต้องเป็นตัวละครที่มีความเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิง

ปรากฏว่าพอเล่นเดโมแล้วก็มาเล่นเกมเต็ม เฮ้ย มันไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมว่าถ้าตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกออกไป อีฟ จัดเป็นตัวละครสาวแกร่งได้นะ ถ้าเทียบกันผมว่าอยู่ในระดับใกล้ ๆ เอลอยด์ เลย อีฟเป็นตัวละครที่มีนิสัยสุขุม รู้ตัวตลอดเวลาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก ฉากเสียใจก็ไม่มีความฟูมฟายมาก แล้วบทอีฟจะเลือดเย็นมันก็เอาเรื่องนะ ผมแอบคิดเลยว่าถ้าเทียบความโหด ผมว่าอีฟโหดกว่าเอลอยด์ ซึ่งจุดนี้ดี มันเป็นการแหวกขนบไปอีกทางนึงว่าตัวละครเซ็กซี มันก็มีมิติที่หน้าเครียดจริงจังได้ นี่อาจจะไม่ใช่เกมแรก ๆ แต่ต้องบอกว่าผมชอบทิศทางการนำเสนอความเป็นอีฟในเกมนี้

พอพูดถึงความโหด อีกเรื่องนึงที่คนอาจจะไม่ค่อยโฟกัสกัน แต่ผมขอบอกเป็นข้อมูลก็คือ เกมนี้มีฉากความรุนแรงแบบถึงเลือดถึงเนื้อ มีฉากโหดที่เกี่ยวกับอวัยวะมนุษย์ ซึ่งเราก็เห็นในเดโมมาระดับนึง เดี๋ยวเกมเต็มจะเจออีก แต่เขาไม่ได้ใช้สุ่มสี่สุ่มห้าแล้วมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น เขาใช้เฉพาะช่วงที่มันจำเป็นต่อการเล่าเรื่องจริง ๆ

เนื้อเรื่อง

ธีม Stellar Blade ก็คือความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ที่จะมีความเชื่อ มีประวัติศาสตร์ เข้ามาประกอบสร้างให้จักรวาลของ Stellar Blade มันเป็นอย่างที่มันเป็น ซึ่งผมคิดว่าเขาทำได้ดีในแง่ของการสร้างโลกให้เป็นฐานของเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเอกสาร พวกข้อมูลจากซากศพ ธนาคารข้อมูล อะไรพวกนี้ทำให้โลกในเกมนี้มันดูมีน้ำหนัก เพราะหลายอย่างมันอธิบายได้ว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง

แต่ถ้ามาว่ากันในแง่เนื้อเรื่อง ผมคิดว่า Stellar Blade ไม่ใช่เกมที่มีเน้อเรื่องแย่ แต่ก็ไม่หวือหวาแบบจบแล้วต้องลุกขึ้นปรบมือ ถ้าเล่นเกมหรือดูหนังมาเยอะ ๆ ผมว่าหลายคนเดาได้เกือบหมดแหละครับว่าเนื้อเรื่องมันจะไปทิศทางไหนต่อ แล้วพวกชื่อตัวละครอะไรพวกนี้มันแอบสปอยล์ข้อมูลเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนกัน

วิธีเล่าของเขานะครับ ระหว่างทางเขาก็จะพยายามหยอดข้อมูลให้เราเรื่อย ๆ เหมือนเป็นจุดที่เขาวางเอาไว้เพื่อจะมาสะกิดอารมณ์ว่า ตกใจสิ อึ้งสิ แต่ถ้าพูดให้ถึงที่สุด ผมคิดว่าไอ้จุดที่เขาเตรียมมาเพื่อจะให้เรารู้สึกว่ามันเกิดการหักมุม หรือ มันต้องสะเทือนใจ เอาเข้าจริงมันไม่ค่อยมีพลังเท่าไร คือรีแอกชันตัวละครโดยเฉพาะลิลี่ค่อนข้างจะเล่นใหญ่แบบ เฮ้ย นี่มันเป็นเรื่องใหญ่นะ ทำไมสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดมันเป็นแบบนี้

แต่ผมไม่ได้รู้สึกตามไปด้วย อย่างที่บอกครับ คำตอบหลายอย่างมันไม่ได้เดายากขนาดนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผมไม่ค่อยอินไปกับอารมณ์ตัวละครเท่าไร มันจะประมาณว่า “เหรอ แล้วที่ผ่านมาไม่สะกิดใจอะไรกันหน่อยเหรอ”

อีกอย่างคือประเด็นที่เขาพยายามจะใช้เป็นมีดแทงบาดเข้าไปในหัวใจมันค่อนข้างไม่คม มันถูกพูด ถูกเล่ากันมาบ่อยแล้ว ประเด็นความเป็นมนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ เรื่องการตั้งคำถามกับสิ่งที่มันเป็นเหมือนพระเจ้าอยู่

โดยเฉพาะความเป็นมนุษย์ในจักรวาลนี้ผมว่ามันแทบจะไม่สำคัญเลยนะว่าคุณจะเป็นอะไร เพราะคุณอยู่ท่ามกลางตัวละครที่เกิน 50% มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว สำหรับผมคือมันเป็นโลกที่ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปเยอะมากซะจนมันน่าแปลกใจที่ตัวละครหลักมันจะต้องมาอาลัยอาวรณ์อะไรกับเรื่องนี้ ถ้าจะอยากทำให้มันมีน้ำหนักจริงก็ต้องมีการปูมาตั้งแต่ต้นเลย ซึ่งในเกมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแบบนั้นนะครับ

แต่มันมีอยู่ 2 จุด ของเนื้อเรื่องที่ผมคิดว่า เวิร์กไม่เวิร์กไม่รู้ แต่พอจะน่าสนใจ

1 คือ แรงจูงใจของตัวละครบางตัวที่ผมรู้สึกว่ามันเชยจัง ยอมทำสิ่งเลวร้ายเพื่อสิ่งที่ดีกว่าแล้วก็ยื่นข้อเสนอให้อีฟ ผมก็เดาว่าอีฟน่าจะมีการตัดสินใจที่ไม่ได้แหวกแนวอะไรมาก แต่ไม่ครับ เขาใช้อีกวิธีนึงซึ่งไม่ขอบอกว่าคืออะไร มันสปอยล์มาก

อย่างที่ 2 ผมว่าฉากจบเกมน่าจะมีประเด็น ผมเดาว่ามันจะมีทั้งคนที่ โห จบยังงี้เลยเหรอ ตื่นเต้นว่ามันจะยังไงต่อ และคนที่แบบ เฮ้ย จะจบแบบนี้ไม่ได้ เพราะฉากจบที่ผมเจอมา เอาแบบไม่สปอยล์ มันชัดเจนเลยครับว่าเขามีอะไรจะเล่าอีกเยอะครับ เขาอยากจะพาเราไปในสเกลของเรื่องที่มันเล่นใหญ่กว่านี้อีก สำหรับผม ตอนจบเลยรู้สึกแอบแปลกใจนิดนึงว่า อื้อหือ กล้าเล่นท่านี้เลยนะ แต่ผมว่าเขาทิ้งเชื้อไฟเอาไว้ดี เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าการเดินทางของอีฟจะเป็นยังไงต่อไป

เกมเพลย์

ถ้าให้นิยามแบบง่าย ๆ Stellar Blade คือเกมแอ็กชันแฮกแอนด์แสลช ที่มีการผสมผสานจุดเด่นของเกมตระกูลโซลส์เข้ามา ใส่จริตของบาโยเนตต้าเข้าไปหน่อย พูดภาษาชาวบ้านก็คือว่าถ้าคุณเล่นเกมนี้ระดับธรรมดา มันเป็นเกมที่ขายความมันจากการฟาดฟัน แต่มันฟันมั่ว ๆ ไม่ได้แน่นอน เพราะการปัดป้อง การหลบ หรือ แพรี่ ศัตรูให้ได้ก็ถือเป็นหัวใจสำคัญไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับพวกศัตรูกีกี้ข้างทาง ไปจนถึงบอสทั้งหมด

แต่เขาจะทำให้มันมีลักษณะเฉพาะของตัวเองก็คือ ถ้าเราแพรี่สำเร็จ จุดสีเหลืองใต้พลังชีวิตศัตรูมันก็จะลดลง พอลดจนหมดเราก็จะใช้ท่าโจมตีแบบรุนแรงที่ลดพลังชีวิตของศัตรูได้เยอะ บางครั้งก็ถึงตายไปเลย ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แตกต่างจากเกมแอ็กชันที่เน้นแพรี่เกมอื่นมากหรอกครับ แค่เขาเปลี่ยนจากแถบสตามินาศัตรูให้มันเป็นจุดสีเหลือง แต่คอนเสปเหมือนกัน

ทีนี้ถ้าถามความรู้สึกผม ผมว่าเกมนี้แพรี่ไม่ค่อยง่าย ขนาดผมเน้นใส่ของที่มันมีคุณสมบัติว่าจะช่วยให้ปัดป้องง่าย ก็ยังพลาดอยู่บ่อย ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าง่ายของเขามันไปช่วยตรงไหน อาจจะช่วยให้ช่องว่างที่ให้แพรี่มันขยายขึ้น แต่สรุปก็คือ จังหวะมันดูต้องเป๊ะในระดับนึง

อีกท่าที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือพวกท่าบลิงก์ ที่หลายคนน่าจะได้ลองใช้กันแล้วตอนเล่นเดโมนะครับ บลิงก็จะใช้ได้เมื่อศัตรูจะโจมตีด้วยท่าโจมตีประกายแสงสีฟ้า แล้วเราต้องรอจังหวะให้ดาบของอีฟจะเปล่งแสงสีฟ้าเหมือนกัน จังหวะนั้นถ้าเรากดเดินหน้าวงกลมทัน ก็จะทำให้เราวาร์ปไปตีศัตรูด้านหลังได้ ถ้าใครที่เล่นเซกิโระมาจะรู้ว่าความจริงมันก็คือการดัดแปลงไอ้ท่าเหยียบอาวุธมาใช้แต่เปลี่ยนลูกเล่นนิดหน่อย

และอีกท่าที่ไม่มีในเดโมก็คือท่า รีพัลส์ ที่ศัตรูจะโจมตีเป็นสีชมพูคราวนี้ต้องกดตรงข้ามครับ คือกดถอยหลังวงกลมแล้วอีฟจะตีลังกาเตะศัตรูจนมันเปิดจุดอ่อนให้เราชั่วคราว

ส่วนพวกสกิลกดใช้อย่างพวกท่า เบต้า พอประเมินแล้วมันก็อยู่ในระดับมาตรฐานของเกมแนวนี้ คือถ้าเล่นเดโมผ่านมาแล้ว มันจะมีท่าเบต้าให้ลอง ส่วนใหญ่ตอนเล่นจริงเราก็อยู่กับท่าพวกนี้แหละครับ ตอนหลังมันก็จะมีปลดล็อกท่าพิเศษเพิ่มเติมเข้ามาให้มันดูมีรสชาติมากขึ้น ส่วนใหญ่มันก็เป็นท่าตามขนบที่เรามักจะเห็นในเกมแนวนี้น่ะครับ อย่าง ท่าจ้วงแทง ท่าตีเป็นวงกว้าง ฟันศัตรูรอบทิศ แต่มันมีประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์จริง อย่างถ้าเราเห็นศัตรูมันกำลังเตรียมจะใช้ท่าโจมตีแรง เราใช้ท่าเบต้าสกัดมันได้ ท่าบางท่าก็จะมี I-Frame ที่ทำให้เราเป็นอมตะชั่วคราว ก็เหมาะกับการเอาไปชนกับท่าใหญ่ของบอส

จุดเด่นของ Stellar Blade อีกอย่างที่ผมไม่ได้นึกว่าเขาจะใส่เข้ามาแบบแยกส่วนให้เล่นกันเลยก็คือ บางช่วงของเกมมันจะเป็นด่านที่เราใช้ดาบไม่ได้ ใช้ได้แค่โดรนที่ติดอาวุธเป็นปืนเท่านั้น จุดนี้มีกลิ่นของความเป็น Dead Space นิดนึงครับ ไม่ใช่ว่ามันน่ากลัวอะไรขนาดนั้น ผมรู้สึกมันคล้ายในแง่ของจังหวะการยิง เสียงปืน แรงกระชากปืน การซ่อนศัตรู ตอนศัตรูตัวระเบิด พอฟังแล้วเหมือนจะไม่สนุก แต่พอได้เล่นจริง ดีซะงั้น ทั้งที่ก็มีแค่ปืนแล้วก็เปลี่ยนกระสุนเอา อาจจะเพราะความที่งานเสียงงานภาพเขาทำดี กระสุนที่เรายิงมันเลยให้ความรู้สึกว่ามันรุนแรง สาแก่ใจยิ่งนัก

สิ่งที่น่าเสียดายนิดนึงก็คือ พอเราออกจากไอ้ช่วงที่บังคับใช้แต่ปืน ผมอยากให้เขาทำระบบต่อสู้ระยะประชิดที่มันมีความเป็นเนื้อเดียวกันกับปีนโดรนมากกว่านี้หน่อย การอัปปืนมันไม่ได้อยู่ในสกิลความสามารถของอีฟนะครับ ถ้าอยากจะอัปปืนมันต้องไปอัปโดรนที่มันอยู่ในฝั่งอุปกรณ์ ผมอยากให้เขาทำผังสกิลอีกแบบนึงที่เป็นลูกผสมของปืนกับดาบให้มันคอมโบกันได้มากกว่านี้ ตอนนี้ผังสกิลเกมนี้มันเน้นการใช้ดาบเยอะไปหน่อย พออัปไปไกล ๆ ท่าที่ได้มันก็เดิม ถ้าเขาเฉือนสักสายสกิลนึงทิ้ง แล้วเอาปืนมาเป็นสกิลให้อัปเป็นคอมโบใช้คู่กับดาบ ผมว่าออกมาเจ๋งกว่านี้อีก เสียของไปนิด แต่ไม่เป็นไรครับ

ไปเรื่องสกิลแล้ว คราวนี้มาดูกันที่ส่วนของอาวุธอุปกรณ์กันบ้าง หลัก ๆ ที่เราต้องสนใจก็คือพวกเกียร์ ก็จะให้ค่าสถานะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าอยากจะเล่นเกมสไตล์ไหน อีกส่วนมันก็จะเป็นพวกสายแต่งตัว ก็จะมีเปลี่ยนชุด เปลี่ยนของตกแต่ง เปลี่ยนรูปร่างโดรน แต่ถ้าอยากเปลี่ยนทรงผมเราต้องไปทำเควสให้ช่างตัดผมชื่อ คาซิม ในเมืองก่อน เราถึงจะใช้บริการเขาได้นะครับ

สำหรับบอสไฟต์เกมนี้ ถามง่าย ๆ เลยว่า เล่นเดโมมาแล้วชอบมั้ย ถ้าคุณโดนบอสไฟต์เกมนี้ตกในเดโม เกมจริงไม่ต้องพูดถึงครับ กราฟคุณภาพบอสไฟต์ไม่มีแผ่ว แล้วมีเยอะ มีให้สู้กันแบบแตกแตนทั้งเกม ผมบ่นแค่เรื่องเดียวก็อย่างที่บอกไปครับว่าช่วงท้าย ๆ บอสมันดูมันขี้โกงจัง แบบตีทีนึงเลือดหายไปเกือบครึ่งหลอดแต่ยังไงถ้าเรียนรู้ไปสักพัก เดี๋ยวมันก็หาหนทางชนะได้เองครับ

ทีนี้ถ้าใครกังวลเรื่องความยาก สำหรับผม Stellar Blade ไม่ได้ยากมากครับ เอาล่ะ ผมเล่นระดับธรรมดามีช่วงตายจนเบื่อก็มี แต่ในภาพรวมมันเคี้ยวไม่ยากครับ ถ้าคุณมีพื้นฐานเกมแนวแฮกแอนด์แสลชมาก่อน แล้วถ้าเคยผ่านเกมตระกูลโซลส์มาด้วย คุณเล่นเกมนี้ได้สบายแน่นอน

ที่สำคัญเขามีโหมดเนื้อเรื่อง ก็คือโหมดง่ายให้คนที่ไม่ถนัดก็สามารถเล่นเกมนี้ได้จนจบ

ส่วนที่เหลือมันก็จะเป็นมินิเกมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเจอในเดโมแล้วล่ะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกพัซเซิลที่เขามีให้เล่นตอนเปิดหีบ หรือ แก้ปริศนาบางจุด ส่วนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เล่นเอาเพลิน ๆ ได้

งานออกแบบ

งานออกแบบก็ถือว่าเป็นอีกจุดขายนึงของ Stellar Blade ครับ ถ้าเราไม่นับเรื่องตัวละครหญิงที่เขามีจุดขายของตัวเอง งานออกแบบฉากและศัตรูเขาก็ไม่ด้อยเหมือนกัน

อย่างแรกงานออกแบบฉาก ตอนที่เล่นแรก ๆ ไปจนใกล้กลางเกม ผมรู้สึกแอบเป็นห่วงเหมือนกัน เพราะมันเป็นช่วงที่เราจะวนเวียนอยู่กับดินแดนแห้งแล้งแล้วก็ทางระบายน้ำใต้ดินเป็นส่วนใหญ่ มันก็จะรู้สึกว่าซ้ำ ๆ ไปมา ซึ่งมันก็สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่เขาปูเอาไว้ว่าโลกมันโดนทำลาย ส่วนใหญ่มันก็จะต้องแห้งแล้งแบบนี้แหละ แต่พอเข้าช่วงกลางเกมเป็นต้นไป เราเริ่มได้ไปสถานที่หลากหลายมากขึ้น ไปส่วนของลิฟต์ยักษ์ จนไปนู่นออกอวกาศไปเลยครับ มันเลยพอกอบกู้ศรัทธาผมกลับมาได้

ส่วนงานออกแบบตัวละครอื่นที่ไม่ใช่พวกตัวประกอบ ผมว่าเขาก็ทำออกมามีเอกลักษณ์ทุกตัว โดยเฉพาะบอส ขอชมเรื่องบอสอีกรอบ ต้องยกให้จริง ๆ ว่าทีมอาร์ตเกมนี้เขามีของ คือเขาจะออกแบบมาให้ดูน่ากลัวพิลึก ๆ อย่างเกมตระกูลโซลส์ก็ได้ จะออกแบบให้ออกมาดูเท่ก็ทำได้

เพลง

เรื่องเพลงประกอบขอสารภาพครับว่า ตอนเล่นเดโมเกมครั้งแรกไม่ค่อยอิน การใช้เพลงร้องคู่ไปกับการต่อสู้มันแปลก ๆ อาศัยการปรับหูพอสมควรครับ ยังดีที่มันไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งเกม อย่างน้อยเขารู้จังหวะใส่เพลง โดยเฉพาะการที่เขาให้เลือกเพลงได้เองที่แคมป์ผมว่าจุดนี้โอเคเลย เพราะมันเป็นจุดที่ทั้งตัวละครและผู้เล่นควรจะได้พัก ฟังเพลงสบาย ๆ ก่อนจะไปลุยต่อ แล้วถ้าเจอบอสตัวไหนที่มันดูตึง ๆ ซีเรียส ดนตรีเขาก็จะปรับโทนให้มันจริงจังขึ้น เร้าใจขึ้น

ประสิทธิภาพ

เกมนี้เขาจะมีตัวเลือกการแสดงผล 3 แบบนะครับ คือเน้นประสิทธิภาพก็คือเฟรมเรต เน้นสมดุล แล้วก็เน้นไปที่ความละเอียดของกราฟิก ผมเล่นเกมนี้จบแบบเลือกเน้นสมดุล เฟรมเรตกลาง ๆ กราฟิกไม่ต้องแรงมาก ก็พบว่าเกมก็วิ่งแถว ๆ 60 เฟรม ได้ไม่เจอด่านหรือจุดติดขัดที่มันเป็นเรื่องใหญ่อะไร ต่อสู้ได้คล่องตัว แล้วก็ชมกราฟิกในเกมได้แบบสบาย ๆ

การควบคุม

เรื่องของการควบคุมทิศทางตัวละครเป็นจุดที่ผมมองว่าคือจุดอ่อนของเกมนี้ ความจริงก็แอบรู้สึกตั้งแต่ตอนเล่นเดโมแล้วล่ะ ผมรู้สึกว่าการกระโดดและปีนป่ายเกมนี้มันไม่คล่องตัว กะทิศทางยาก เดี๋ยวกระโดดเกินมั่ง กระโดดสั้นมั่ง ปัญหานี้ตามมาถึงในตัวเกมเต็มครับ โดยเฉพาะตอนที่คุณยังไม่สามารถกระโดด 2 ครั้ง ได้ ชีวิตมันก็จะลำเค็ญพอสมควร

หรืออย่างการให้อีฟดึงหรือผลักพวกวัตถุสิ่งของเพื่อแก้ไขปริศนาก็ทำออกมาได้ประหลาด คือจะบังคับไปทางไหนมันก็ดูยาก ดูไม่ได้ดั่งใจไปหมด ไม่รู้จริง ๆ ครับว่าในแง่เทคนิคมันเกิดอะไรขึ้น เพราะเกมแนวเดียวกัน เขาก็ดูไม่เจอปัญหาอะไรแบบนี้

ฉะนั้นในแง่การควบคุมทิศทางโดยเฉพาะการกระโดด การบังคับวัตถุสิ่งของ ผมคิดว่าควรจะทำให้ดีกว่านี้ได้ จุดนี้ไม่มีข้อแก้ตัวให้ครับ

การแปล

ในแง่การแปล ก็อยากจะใช้คำเดิมว่าคงคุณภาพของความเป็นเกมเอ็กซ์คลูซีฟของ Sony แต่ขอนิดนึงแล้วกัน มันไม่ได้ร้ายแรงมาก การแปลอยู่ในระดับที่รู้เรื่องตลอดเกมครับ มันจะมีจุดติดขัดบ้าง อย่างตัวละคร A เรียกตัวละคร B ว่าเธอ ประโยคต่อมาเรียก แก แล้วประโยคต่อมากลับไปเรียก เธอ ต่อ เหมือนได้บทแปลมาเป็นสคริปต์ แต่ไม่ได้เห็นตัวเกมเต็ม

อันนี้ไม่รู้กระบวนการทำงานภายในของเขาเหมือนกันว่าเป็นยังไง แต่ไม่ได้สาหัสอะไร ออกอัปเดตมาแก้ไขทีหลังได้

สรุป

หลังจาก 18 ชั่วโมง เล่นเกมจบไปรอบนึง ผมมีความรู้สึกเหมือนตอนเล่น Lies of P จบครับ ก็คือทั้ง 2 เกมเป็นเกมที่เชื่อในพลังของสูตรสำเร็จ Lies of P ก็ตามรอย Bloodborne ส่วน Stellar Blade เขาก็ไม่ได้พยายามจะเป็นอะไรมากไปกว่าเกมแฮกแอนด์แสลชผสมรสชาติเกมโซลส์ที่มันสนุก กลมกล่อม มีใส่ตัวละครที่สะท้อนความเป็นตัวเองในระดับนึง ถ้าอยากตั้งโจทย์แบบนี้ผมโอเคเลย เพราะว่าตลอด 18 ชั่วโมงที่เล่น เขาทำถึงเกือบหมด ฉากแอ็กชันทำถึง ระบบต่อสู้ทำถึง กราฟิกทำถึง งานออกแบบทำถึง ดนตรีทำถึง อาจจะมีติดขัดตรงเนื้อเรื่องและการบังคับตัวละคร แต่โดยภาพรวม Stellar Blade เป็นอีกหนึ่งเกมที่พิสูจน์แล้วว่าสตูดิโอเกาหลีใต้เขาพร้อมมายืนแถวหน้าของเกม AAA ระดับโลกแล้วครับ

เพราะฉะนั้น 8 คะแนน สำหรับ Stellar Blade ครับ แนะนำ

จุดเด่น

  • ระบบต่อสู้ที่ดุดันถึงใจ
  • บอสไฟต์ที่ไม่มีแผ่ว
  • งานออกฉากและตัวละครอันน่าจดจำ

จุดด้อย

  • เนื้อเรื่องยังต้องการการขัดเกลา
  • ระบบการบังคับทิศทางที่ติดขัดในบางจุด

The Review

80% เกมที่เชื่อในพลังของสูตรสำเร็จ

80%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์