ในงาน Tokyo Game Show 2023 ครั้งนี้ ทีมงานไทยเกมวิกิมีโอกาสได้ร่วมทดลองเล่นเกม Like a Dragon Gaiden: The Man Who Erased His Name ในบูธของ SEGA/Atlus ด้วยครับ เราเลยอยากมาบอกเล่าความรู้สึกหลังจากลองเล่นให้ได้อ่านกัน
สำหรับในเดโมนี้ ตัวเกมจะเริ่มต้นในตอนที่คิริวมาเยือนยัง Castle โดยผู้ที่พามาก็คืออากาเมะสาวผู้รับจ้างทำสารพัดอย่างแห่งโซเตนโบริ
เนื่องจากในเดโมนี้มีเวลาเล่นได้จำกัด เราจึงโฟกัสไปที่ระบบการต่อสู้เป็นหลักครับ อย่างที่หลายคนคงทราบแล้วว่าในภาคนี้คิริวจะมีสไตล์การต่อสู้สองรูปแบบนั่นคือ สไตล์ยากูซ่า และสไตล์สายลับ สำหรับสไตล์ยากูซ่านั้นจะมีรูปแบบที่หลายคนคุ้นเคยมาจาก Yakuza Kiwami 2 เลยในแง่ของโมชั่นการเคลื่อนไหวและการใช้งาน แต่สิ่งที่ต่างกันคือในคราวนี้ผู้เล่นจะสามารถกดท่าฟินิชเชอร์เพื่อปิดคอมโบได้สามฮิตในทุกคอมโบครับ
ไฮไลต์จริง ๆ ก็น่าจะเป็นสไตล์สายลับที่เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งจากที่ได้ลองเล่นแล้วก็พบว่าการสู้นั้นไม่ได้วุ่นวายอย่างที่คิดเอาไว้ทีแรก เพราะว่าอุปกรณ์พิเศษแต่ละอย่างที่เห็นในตัวอย่างนั้น สามารถกดใช้ได้ง่าย ๆ โดยกดปุ่ม Face Button ฝั่งขวาค้างเอาไว้แค่นั้นเลย อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะใช้สายสลิงเพื่อมัดศัตรูแล้วเหวี่ยงเป็นสไปเดอร์แมน ก็กดปุ่มวงกลมค้างเอาไว้แล้วปล่อย ถ้าจะปล่อยโดรนโจมตีก็กดสามเหลี่ยมค้างเอาไว้แล้วปล่อย ถ้าจะใช้บุหรี่ระเบิดก็กดสี่เหลี่ยมค้างเอาไว้แล้วปล่อย และถ้าจะใช้ไอพ่นติดรองเท้าเพื่อแดชอย่างรวดเร็วก็กดปุ่มกากบาทค้างไว้แล้วปล่อย
เท่าที่เราได้ลองมาก็คิดว่าพวกอุปกรณ์สายลับเหล่านี้ไม่มีข้อจำกัดในการใช้ครับ คุณสามารถใช้บ่อยเท่าที่ต้องการได้เลยเพราะทีมสร้างถือว่าอุปกรณ์พวกนี้เป็นท่าโจมตีของสไตล์แทนที่จะเป็นการใช้ไอเท็มต่าง ๆ (แต่เกมจริงจะปรับรึเปล่าอันนี้ไม่รู้นะ) มันก็เลยทำให้วิธีสู้ค่อนข้างต่างจากเดิมที่คุ้นเคยอยู่เหมือนกัน ใครที่ชินกับคอมโบสไตล์ยากูซ่าก็ต้องปรับตัวกันหน่อย
ทั้งนี้ สิ่งที่เล่นแล้วรับรู้ได้ชัดเจนมากของภาคนี้ก็คือศัตรูมัน “ดุ” มากครับ จากเดิมที่บางทีศัตรูมักมีช่วงยืนให้เราต่อยคอมโบครบชุด คราวนี้ไม่ว่าจะศัตรูธรรมดาหรือพวกศัตรูในลานประลองนี่มันรุมเราบ่อยขึ้นจนรู้สึกได้เลย พอเราต่อยตัวไหนอยู่ตัวอื่นมันจะวิ่งเข้ามาเสริมเพื่อต่อยเราทันที เกมเลยค่อนข้างบังคับให้เราต้องหาจังหวะฉากหลบ หรือไม่ก็เปลี่ยนไปสู้กับตัวอื่นรอบทิศทางมากขึ้น ซึ่งสไตล์สายลับก็จะค่อนข้างตอบโจทย์ในจุดนี้ด้วยความที่รูปแบบการโจมตีจะเป็นวงกว้างเยอะ รับมือพร้อมกันได้หลายคน จะใช้รองเท้าไอพ่นผละหนีหรือจะพุ่งชาร์จก็ได้ แต่ถ้าจะสู้ศัตรูระดับบอสก็คิดว่าสไตล์ยากูซ่าจะเหมาะสุดด้วยความที่การโจมตีนั้นรุนแรงกว่าแบบชัดเจนเหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่ภาคนี้เพิ่มเข้ามาก็คือระบบ Mortal Reversal แบบที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยจาก Lost Judgment นั่นล่ะครับ คือถ้าเรากดฉากหลบในจังหวะที่บอสโจมตีมาพอดี เกมจะเปิดโอกาสให้เราตอบโต้ได้อย่างรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามจากเดโมที่เราใช้เวลาเล่นในลานประลองไปส่วนใหญ่ก็ยืนยันได้ว่าภาคนี้ทีมงานตั้งใจเพิ่มระดับความยากจากเดิมขึ้นมาพอควรเหมือนกันครับ เพราะมีไฟต์นึงที่รอบสุดท้ายเราคนเดียวต้องสู้กับศัตรูระดับบอสพร้อมกัน 5 คนด้วยกัน ต่อให้คุณเคยเล่นภาคเก่า ๆ มา ถ้ามาจับภาคนี้ผมว่าก็แอบตึงมือไม่น้อยอยู่
น่าเสียดายว่าเวลาที่เล่นได้นั้นสั้นมาก เราเลยไม่มีโอกาสสำรวจองค์ประกอบอื่น ๆ เท่าไรนัก แต่การที่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวละครเดินไปเดินมาในโหมดเนื้อเรื่องได้เป็นครั้งแรกนี่ก็ถือเป็นอะไรที่เจ๋งดีไม่เบาแล้วครับ ใครมันจะไปคิดว่าคิริวจะกล้าใส่ชุดหนังทั้งตัวเดินไปมาให้ชาวบ้านเห็น…
แต่เอาล่ะ นี่จะเป็นอีกเกมหนึ่งที่เรารอคอยอย่างมากแน่นอนครับ ไว้วันที่เกมวางจำหน่ายก็รออ่านรีวิวจากเรากันด้วยนะ!