Articles Games News

5 ระยะก้าวผ่านความสูญเสียกับ CLAIR OBSCUR EXPEDITION 33

โดย G-jang

5 ระยะก้าวผ่านความสูญเสียกับ CLAIR OBSCUR EXPEDITION 33

เกม Clair Obscur Expedition 33 นั้นเป็นเกม RPG เทิร์นเบสที่ได้รับคำชื่นชมล้นหลาม จากระบบการเล่นที่สดใหม่พร้อมองค์ประกอบจากหลากหลายแนวเกม เพลงประกอบที่ไพเราะเสนาะหูทั้งเพลง พร้อมทั้งงานออกแบบศิลป์ชั้นยอดที่ชวนตะลึง (สามารถอ่านรีวิวเกมของเราได้ที่นี่) แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงองค์ประกอบในแง่เนื้อหาของเกมที่ว่าด้วยภาวะการสูญเสียทั้งหมด 5 ระยะซึ่งนำเสนอผ่านตัวละครหลัก 5 คนของเกมครับ

*คำเตือน* บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาหลักของเกม ดังนั้นหากยังเล่นไม่จบก็แนะนำให้เล่นจบก่อนนะครับ


ก่อนที่จะไปว่ากันเกี่ยวกับตัวเกม ผมอยากอธิบายหลักการเกี่ยวกับภาวะการสูญเสีย 5 ระยะก่อน ซึ่งหลักการนี้ได้รับการนำเสนอโดยจิตแพทย์ชาวสวิส-อเมริกันที่ชื่อ Elisabeth Kübler-Ross (เอลิซาเบธ คูบเลอร์-รอสส์) ในหนังสือปีค.ศ.1969 ของเธอที่ชื่อว่า On Death and Dying ซึ่งเธอเขียนขึ้นจากงานของเธอที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยซึ่งป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งแม้ว่าเธอจะเขียนว่าเป็นระยะก็ตาม แต่เธอเคยบอกเอาไว้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะแสดงภาวะให้เห็นออกมา 2-3 อย่างพร้อมกัน และก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดภาวะเรียงลำดับตามที่ระบุเสมอไปครับ

อย่างไรก็ตาม หลักการเกี่ยวกับภาวการณ์สูญเสีย 5 ระยะก็เป็นสิ่งที่รับรู้กันในวงกว้างในปัจจุบันนี้นับแต่ปีค.ศ.2019 ที่หนังสือ On Death and Dying ของเธอได้รับการแปลถึง 41 ภาษานั่นเอง และจากเดิมที่เป็นหลักการใช้อธิบายความรู้สึกที่ผู้ป่วยต้องเผชิญ ก็ถูกขยายไปใช้อธิบายความรู้สึกของเพื่อนและครอบครัวที่ต้องเผชิญการสูญเสียเช่นเดียวกันครับ

เอาล่ะ เราไปเข้าประเด็นของเรากันเลยดีกว่า


ระยะที่ 1 Denial หรือการปฏิเสธความจริง

ระยะนี้ได้รับการอธิบายว่าเมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น บุคคลนั้นจะเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จริง และจะยึดมั่นกับความเป็นจริงที่ตนเชื่อเท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมก็จะรวมถึงการโดดเดี่ยวตนเอง หลีกเลี่ยงผู้อื่นที่ยอมรับความจริงของเหตุการณ์ได้แล้ว เพื่อป้องกันจิตใจของตนเอง

หากกล่าวถึงในเกมแล้วตัวละครหลักที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของระยะนี้ก็คือ Aline Dessendre (อลีน เดสซองเดรอ) หรือก็คือผู้ที่ได้ชื่อว่า Paintress ในเกมนั่นเอง เหตุการณ์ทั้งหมดในเกมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพวาดของ Verso (เวอร์โซ) ในสมัยเด็กที่รังสรรค์จินตนาการต่าง ๆ ขึ้นมาบนผืนผ้าใบ แต่แล้วในช่วงเวลาปัจจุบันของเกมนั้น เวอร์โซในวัยหนุ่มกลับมีอันต้องจบชีวิตก่อนเวลาอันควรในกองเพลิง เมื่อลูกชายสุดที่รักของตระกูลจบชีวิตลงไป อลีนผู้เป็นแม่นั้น…ทำใจยอมรับไม่ได้

สิ่งที่เธอทำหลังจากนั้นก็คือ เธอใช้พลังประจำตระกูลในฐานะ Painter เข้าไปสู่โลกแห่งภาพวาดที่ลูกชายของเธอเคยสร้างสรรค์เอาไว้ จากนั้นเธอก็ทำการวาดครอบครัวของเธอขึ้นมาใหม่ในโลกแห่งผืนผ้าใบ เพื่อสร้างครอบครัวที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่เธอปรารถนาขึ้นมา แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่านี่คือครอบครัวที่เป็นเสมือนเพียงสำเนาของครอบครัวจริง ๆ ที่เธอมี แต่อลีนไม่ได้สนใจ เพราะว่าในโลกแห่งผืนผ้าใบนี้ยังคงเหลือเศษเสี้ยววิญญาณของเวอร์โซ ยังเหลือสิ่งที่เป็นลูกชายที่เธอรักอยู่

ทว่าการที่เธอใช้พลังและจมดิ่งอยู่แต่กับโลกในภาพวาดนั้น มันทำให้ร่างกายของเธอในโลกความเป็นจริงทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ หรือกล่าวได้ว่าเธอโดนความเศร้ากลืนกินจนไม่สนความเป็นจริงอีกต่อไป ซึ่งนั่นก็เลยทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อมาในโลกแห่งผืนผ้าใบ เพราะ Renoir (เรอนัวร์) ผู้เป็นสามีไม่อาจทนเห็นเธอในสภาพแบบนี้ได้อีก จึงเข้ามาสู่โลกแห่งนี้เช่นกันเพื่อดึงเธอกลับสู่โลกความเป็นจริง


ระยะที่ 2 Anger หรือความโกรธ

เมื่อบุคคลรับรู้ได้ว่าไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นได้ พวกเขาก็จะเริ่มโกรธ และเริ่มหาที่ระบายความโกรธนั้นซึ่งอาจเป็นคนรอบ ๆ ตัวหรือเป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ พวกเขาจะคิดว่าทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับตน ใครที่เป็นคนผิด? ซึ่งเอลิซาเบธก็เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือของเธอว่า หากใครที่อยู่ในภาวะนี้คนรอบตัวควรปล่อยให้พวกเขาได้ระบายออกมา และอย่าถือสาหาความ

ตัวละครในเกมที่มีพฤติกรรมและการแสดงออกในระยะนี้ก็คือ Clea Dessendre (เคลอา เดสซองเดรอ) พี่สาวคนโตของตระกูลครับ ตามเนื้อเรื่องในเกมนั้นเธอถูกอธิบายเอาไว้ว่าเป็น Painter ที่มีทักษะและความสามารถสูงมาก มีความเก่งกาจในหลายด้าน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เวอร์โซผู้เป็นน้องชายของเธอต้องตายในกองเพลิงนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเธอมุ่งมั่นที่จะหาทางเล่นงานเหล่า Writers ที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรม

ไม่เพียงแค่นั้น คำพูดและพฤติกรรมของเธอที่แสดงออกต่อสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ นั้นจะค่อนข้างกระด้างและเย็นชา โดยเฉพาะกับ Alicia (อลิเซีย) ที่เป็นหนึ่งในต้นเหตุซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ดังกล่าวขึ้นจากการที่อลิเซียหลงเชื่อพวก Writers (โดยเกมก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมกว่านั้น) แถมเรอนัวร์กับอลีนที่เป็นพ่อและแม่ ต่างก็วุ่นวายหาทางยุติความขัดแย้งในโลกผืนผ้าใบของเวอร์โซไม่ได้สักที มันเลยทำให้เธอนั้นหงุดหงิดกับสถานการณ์ เพราะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้เสียเวลาในการตามล่าพวก Writers ให้มารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ด้วยความโกรธและหงุดหงิดที่เธอมี จึงทำให้เธอเป็นคนที่คอยวาดบรรดา Nevrons (ศัตรูในเกม) เพื่อช่วยให้พ่อของเธอดึงแม่ออกมาจากภาพวาดได้เร็วขึ้น นั่นเพราะหาก Nevrons ที่เธอวาดทำการสังหารเหล่ามนุษย์ในภาพวาดเมื่อใด ศพของพวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนหินเพื่อทำการสกัด Chroma (ชื่อเรียกพลังสีสันในเกม) ไม่ให้คืนกลับไปยังแม่ของเธอใช้งานต่อได้ และก็จะทำให้แม่ของเธออ่อนแรงลงจนไม่อาจอยู่ในภาพวาดต่อได้


ระยะที่ 3 Bargaining หรือการเจรจาต่อรอง

ระยะนี้บุคคลที่เผชิญการสูญเสียจะเริ่มการต่อรองด้วยความหวังที่ว่าตนจะหลีกเลี่ยงความสูญเสียนั้นได้ เช่นผู้ป่วยหนักอาจจะต่อรองกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพยดาฟ้าดินเพื่อที่จะขอให้ตนไปร่วมงานแต่งลูกสาวได้ หรืออาจต่อรองเพื่อขอยืดเวลาชีวิตตนออกไปเพื่อเปลี่ยนการใช้ชีวิต เป็นต้น

ตัวละครในเกมซึ่งมีพฤติกรรมในระยะนี้อย่างเด่นชัดก็คือ Maelle (มาเอล) หรือที่ชื่อจริงก็คือ Alicia Dessendre (อลิเซีย เดสซองเดรอ) น้องสาวคนเล็กของตระกูลนั่นเอง ซึ่งในความเป็นจริงนั้นอลิเซียเองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของเหตุเพลิงไหม้ที่พรากชีวิตของเวอร์โซไป และสิ่งที่เธอได้รับก็คือร่องรอยแผลไฟไหม้รุนแรงที่ปรากฏบนใบหน้า พร้อมด้วยดวงตาข้างขวาที่สูญหาย พร้อมทั้งลำคอที่ไม่อาจเปล่งเสียงได้อีกต่อไป ซึ่งเธอนั้นเข้าสู่โลกแห่งผืนผ้าใบตามคำแนะนำของเคลอาที่หวังว่าอลิเซียจะช่วยเร่งกระบวนการและพาตัวอลีนผู้เป็นแม่ออกจากภาพวาดได้เร็วขึ้น

ทว่าในตอนที่เข้าไปนั้นได้เกิดเหตุผิดพลาด เพราะว่าอลิเซียยังมีพลังไม่แข็งแกร่งพอ จึงทำให้เธอโดนพลังของอลีนวาดภาพทับจนสุดท้ายเธอได้ถือกำเนิดใหม่ในโลกแห่งภาพวาดในฐานะของมาเอลตามที่ผู้เล่นได้เห็นและได้เล่นกันในเกมนั่นเอง และเมื่อเรื่องราวดำเนินไปจนถึงช่วงท้ายเกมที่เธอจดจำทุกอย่างได้ เธอก็ได้เผชิญหน้ากับเรอนัวร์ผู้เป็นพ่อ ซึ่งด้วยความที่เรอนัวร์มีเป้าหมายในการทำลายภาพวาดนี้ให้สิ้นซาก เพื่อรักษาชีวิตของอลีนผู้เป็นภรรยารักนั้น มาเอล/อลิเซียไม่เห็นด้วยเพราะภาพนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเวอร์โซพี่ชายของเธอ

จากบทสนทนาที่เธอกล่าวกับเรอนัวร์รวมถึงเวอร์โซ (ภาพวาด) ในเกมนั้น เธอยืนกรานว่าจะอย่างไรก็ตามโลกบนผืนผ้าใบนี้ควรต้องดำรงต่อไป เพราะเธอคิดว่าในโลกความเป็นจริงนั้นไม่เหลือสิ่งใดสำหรับเธอแล้ว เธอต้องใช้ชีวิตในแบบผู้พิการไปตลอดชีวิต แต่ในภาพวาดที่เธอใช้ชีวิตมา 16 ปีนั้นเธอมีผู้คนที่ผูกพัน มีชีวิตในแบบที่ต้องการ แม้แต่ช่วงท้ายเกมที่เราสามารถเอาชนะเรอนัวร์ได้แล้ว เธอก็ยังคงอ้อนวอนพ่อขอให้เก็บภาพวาดนี้ไว้พร้อมกับยืนยันว่าเธอจะไม่ยึดติดและไม่หลงในโลกนี้เป็นมั่นเหมาะ และจะแวะมาโลกแห่งนี้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ทำให้สุดท้ายเรอนัวร์ต้องยอมล่าถอยออกจากภาพวาดไปแม้ว่าจะไม่เชื่อมั่นในคำพูดของลูกสาวก็ตามที


ระยะที่ 4 Depression หรือความโศกเศร้า

ในระยะนี้บุคคลที่ป่วยหนักจะตระหนักรู้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ซึ่งก็มักส่งผลให้บุคคลนั้นเกิดความหมดอาลัยตายอยากในชีวิต อาจปฏิเสธไม่ยอมให้ใครเข้าเยี่ยม พร้อมที่จะปล่อยจอยตลอดเวลา โดยในแง่ของคนในครอบครัวผู้ป่วยเองก็อาจมีอารมณ์ดิ่งจากความสูญเสียคนที่รักจนไม่อยากใช้ชีวิตต่อเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นระยะที่อาจกลายเป็นภาวะซึมเศร้าได้หากไม่ดูแลใจตัวเองให้ดี

ซึ่งสำหรับตัวละครในเกมซึ่งมีพฤติกรรมในภาวะนี้ก็คือพระเอกตัวจริงของเกมอย่าง Verso Dessendre (เวอร์โซ เดสซองเดรอ) นั่นเองครับ แต่ก็อย่างที่ผมเขียนไปก่อนหน้านี้ว่าเวอร์โซตัวจริงนั้นมีอันต้องสิ้นชีวิตไปในกองเพลิง ดังนั้นเวอร์โซที่เราได้เล่นตลอดทั้งเกมก็คือตัวตนที่โดนอลีนวาดขึ้นมาเพื่อเป็นครอบครัวภายในผืนผ้าใบนั่นเอง แต่แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพที่โดนวาดขึ้น เวอร์โซคนนี้ก็มีบุคลิกมีความทรงจำและมีพฤติกรรมในลักษณะที่ตัวจริงจะแสดงออกทุกประการ

ด้วยความที่ตัวเขาเองนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกผืนผ้าใบก่อนเหตุการณ์ในเกม จวบจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Fracture ขึ้นในเกมซึ่งทำให้เมืองในโลกผืนผ้าใบอย่าง Lumiere (ลูมิแยร์) ต้องกระจัดกระจาย รวมถึงผืนดินต่าง ๆ ก็แปรสภาพไปหมดสิ้น จนเกิดเป็นการตั้งคณะสำรวจขึ้นมาเพื่อออกค้นหาผู้รอดชีวิต ก่อนที่ตัวเลขบนแผ่นศิลาซึ่งกำหนดช่วงอายุขัยของผู้ที่จะรอดชีวิตนั้นเริ่มลดลงเรื่อย ๆ จนมาถึงเหตุการณ์ในเกมซึ่งเป็นตัวเลข 33 นั่นล่ะครับ

โดยเวอร์โซฉบับภาพวาดนี้ มีอายุตามในโลกผืนผ้าใบร่วมร้อยปีแล้ว แต่เขาไม่แก่ไม่ตายและมีชีวิตเป็นนิรันดร์ นั่นก็เพราะอลีนผู้วาดเขาขึ้นมาตั้งใจให้เขามีชีวิตนิรันดร์ต่อไป และเขาเองซึ่งทราบความจริงทั้งหมดว่าตนคืออะไร และโลกที่ตนอยู่แท้จริงคืออะไร ก็เกิดความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตอย่างมาก อีกทั้งยังทราบดีว่าหากอลีนไม่ยอมออกไปจากภาพวาดนี้ อีกไม่นานเธอก็จะต้องจบชีวิตลง เขาในฐานะลูกชาย (ที่แม้จะเป็นเพียงสำเนา) จึงพยายามที่จะหาทางกำจัด Paintress เพื่อบังคับให้เธอออกจากภาพวาดไปนั่นเอง ถึงแม้ว่าเรอนัวร์ (ฉบับสำเนา) จะคอยขัดขวางก็ตาม เป้าหมายของเขาจึงเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับเรอนัวร์ตัวจริง

ความคิดและการกระทำของเวอร์โซในเกมนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่ไม่ยินดียินร้ายกับตัวตนและการดำรงอยู่ของตนเองอีกต่อไปแล้ว ทั้งการที่เขาทราบดีว่าตนไม่ใช่ตัวจริง ทั้งการที่ไม่สามารถทนเห็นแม่ของตนต้องทนทรมาน รวมถึงว่าเขาเองก็คิดว่าสาเหตุที่เกิดเรื่องทั้งหมดมันก็เพราะการที่ตัวเขาเอง (ตัวจริง) จบชีวิตลงไป เขาก็เลยหวังจะปิดฉากทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าผลลัพธ์จะทำให้ตนเองต้องโดนลบหายไปก็ตาม ถ้าจะกล่าวไปแล้ว มุมมองของเวอร์โซนั้นเปรียบเสมือนผู้ป่วยหนักที่ไม่อยากสู้ต่อแล้วนั่นล่ะครับ


ระยะที่ 5 Acceptance หรือการยอมรับ

ในระยะสุดท้ายนี้ บุคคลนั้น ๆ จะยอมรับความตายที่จะมาถึงหรือยอมรับอนาคตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะของตนเองหรือของคนที่ตนรักก็ตาม พฤติกรรมและอารมณ์ของบุคคลนั้นจะเริ่มคงที่และมีความสงบมากขึ้น มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ และจะก้าวผ่านความสูญเสียกลับมาสู่ภาวะปกติได้อีกครั้ง

แน่นอนว่าตัวละครที่อยู่ในระยะนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Renoir Dessendre (เรอนัวร์ เดสซองเดรอ) ผู้เป็นพ่อของตระกูลนั่นเอง สิ่งที่เขากระทำก็คือการก้าวเข้าสู่โลกผืนผ้าใบตามหลังอลีนผู้เป็นภรรยาเข้าไป ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่าเหตุการณ์ Fracture นั้นเกิดจากการกระทำของเขานั่นเอง

หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบต่อผู้คนในโลกผืนผ้าใบ ล้วนเกิดจากความขัดแย้งและการต่อสู้กันระหว่างเรอนัวร์และอลีน ซึ่งทั้งสองนั้นเรียกได้ว่ามีพลังอำนาจมหาศาลจนเปรียบเสมือนเป็นเทพเจ้าของโลกแห่งนี้ ฝ่ายหนึ่งปฏิเสธความจริง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งพยายามเตือนให้ยอมรับความจริง จึงเกิดเป็นข้อพิพาทที่ส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกผืนผ้าใบ

เมื่อตัวเกมดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ผู้เล่นจะได้ทราบความจริงว่าการกระทำของ Paintress ที่ขีดเขียนตัวเลขกำหนดชะตากรรมและช่วงอายุของผู้คนในโลกแห่งนี้ แท้จริงแล้วสิ่งที่เธอเขียนคือคำเตือน เพราะเธอต้องการจะบอกว่านี่คือช่วงอายุของคนที่เธอช่วยได้ เพราะพลังของเธอนั้นลดน้อยถอยลงทุกปี และพิธี Gommage ที่คอยลบผู้คนไปนั้น เป็นการกระทำของเรอนัวร์ที่พยายามจะลบล้างภาพวาดนี้ในแต่ละปีต่างหาก แน่นอนว่าเวอร์โซนั้นทราบความจริงข้อนี้มาโดยตลอดแต่เขาเลือกที่จะไม่บอกคนอื่น ๆ เพราะเป้าหมายของเขาก็คือการลบภาพวาดนี้ไม่ต่างไปจากเรอนัวร์

เรียกได้ว่าเรอนัวร์นั้นเป็นคนที่เข้าใจความเป็นไปของชีวิตที่สุด และยอมรับความเป็นจริงได้แล้วว่าลูกชายของตนไม่อาจจะกลับมา อีกทั้งพยายามฉุดภรรยาของตนขึ้นมาจากปากเหวก่อนที่จะดิ่งลงไปจนกู่ไม่กลับ ซึ่งนั่นก็รวมถึงความพยายามในการดึงอลิเซียลูกสาวคนเล็กออกมาจากภาพวาดด้วย แม้ว่าการกระทำของเขาอาจจะดูโหดร้ายก็ตามที  แต่ทั้งหมดที่เขาทำไปนั้น เขาทำไปด้วยความรักที่มีต่อครอบครัวของตนเองโดยแท้ครับ

ถ้าเทียบกันแล้วจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของอลีนกับเรอนัวร์นั้นเป็นขั้วตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็ตรงตามธีมและชื่อเกม Clair Obscur ที่แปลว่าแสงและเงานั่นล่ะครับ


หากเราสังเกตจากฉากจบของเกมทั้งสองแบบนั้น ถ้าคุณเลือกเวอร์โซ ภาพวาดก็จะถูกลบลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะสูญสลายหมด เมืองลูมิแยร์ ลูเน ซิเอล ตัวเวอร์โซ แม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณเวอร์โซที่เหลืออยู่ก็จะหายสิ้น ทำให้ทั้งอลิเซียและอลีนต้องทำใจยอมรับความจริง และใช้ชีวิตต่อไป ในขณะที่ฉากจบของมาเอลนั้น เธอเลือกที่จะอยู่ต่อในภาพวาดพร้อมกับใช้พลังวาดทุกคนขึ้นมาใหม่ ในโลกแบบที่เธอต้องการแม้ว่าแต่ละคนที่เธอวาดนั้นอาจจะไม่ใช่คนเดียวกับที่เธอรู้จักแล้วก็ตาม

ส่วนผู้เล่นจะเห็นด้วยกับทางไหน บรรดาผู้คนในโลกผืนผ้าใบนั้นถือว่ามีชีวิตจิตใจหรือไม่ หรือเป็นเพียงสิ่งจำลองเท่านั้น แล้วถ้าหากเรามองว่าพวกเขามีชีวิตจิตใจ การทำลายทุกอย่างสิ้นซากมันถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือยัง ผมเชื่อว่าคำถามเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่ผู้เล่นคงต้องถกเถียงกันต่อไปยาว ๆ ซึ่งนั่นก็อาจเป็นความตั้งใจของทีมงานผู้พัฒนาเกมครับ

ไม่แน่ว่า…Writers ผู้ก่อให้เกิดความสูญเสียและโศกเศร้าแก่ตระกูลเดสซองเดรอ รวมถึงแก่ผู้อยู่ในโลกผืนผ้าใบนั้น…อาจจะหมายถึงทีมงานผู้เขียนบทเกมก็เป็นได้นะ


ที่มาข้อมูล

https://www.manarom.com/blog/5_stages_of_grief.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Five_stages_of_grief

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์