*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Ripples Thailand มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
ถ้าพูดถึงชื่อของวรรณกรรมจีนคลาสสิกที่โด่งดังระดับโลกอย่างไซอิ๋วนั้น เชื่อว่าแทบทุกคนจะต้องรู้จัก ไม่ว่าคุณจะเคยอ่านต้นฉบับ หรือเคยรับชมซีรีส์ทางโทรทัศน์ หรือแม้แต่อาจจะเคยเห็นผ่านตาจากสื่อบันเทิงอื่น ๆ ก็ตาม
นั่นเพราะเรื่องราวของพระถังซำจั๋ง (เสวียนจั้ง) ที่ออกเดินทางไปยังชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกร่วมกับศิษย์ทั้งสามอย่างซุนหงอคง (ซุนอู่คง) ซัวหงอเจ๋ง (ชาอู้จิ้ง) และตือโป๊ยก่าย (จูปาเจี้ย) และระหว่างทาง ทั้งคณะก็ได้พบกับอุปสรรคขัดขวางและเหล่าปีศาจมากมาย เกิดเป็นเรื่องราวที่จับใจใครหลาย ๆ คนจนเรื่องราวได้ถูกนำไปทำซ้ำและดัดแปลงเป็นร้อยเป็นพัน
ซึ่ง The Crown of Wu ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่หยิบยกเอาองค์ประกอบของไซอิ๋วมาใช้เป็นพื้นฐาน แต่ว่า…จะทำออกมาได้ดีแค่ไหนกันล่ะ?
เนื้อเรื่อง
สำหรับ The Crown of Wu นี้ เราจะได้รับบทเป็น Wu หรืออู่ (ก็หงอคงนั่นแหละ) ผู้ที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาหลังจากที่โดนจองจำเอาไว้ ซึ่งเกมก็จะไม่ค่อยบอกเรื่องราวอะไรกับเรามาก ว่าเราโดนจองจำเพราะอะไรแต่จะอาศัยให้เราไปสำรวจแผ่นหินตามฉากที่จะเผยเรื่องราว เผยลอร์ของเกมออกมา รวมถึงบรรดาของเก็บสะสมต่าง ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ที่แต่ละชิ้นก็จะมีคำอธิบาย มีลอร์ในตัวของมันเองให้เรามาเรียบเรียงเรื่องราวเอาเอง
ซึ่ง…ลักษณะการเล่าเรื่องในสไตล์นี้ ผมคิดว่ามันจะเวิร์กและได้ผลก็ต่อเมื่อเซ็ตติ้งต่าง ๆ และบรรยากาศของเกมมันชวนให้คนเล่นรู้สึกอยากค้นหา อยากทำความรู้จักกับโลกของเกมมันครับ เผอิญว่า…ไม่ใช่กับ The Crown of Wu แน่ ๆ สำหรับผม ผมมองเห็นความพยายามของทีมงานที่ออกแบบฉากเอย ตัวละครเอยและองค์ประกอบต่าง ๆ ในสไตล์ของจีนโบราณ (เพราะรากฐานจากไซอิ๋ว) แล้วนำมาผสมผสานกับความเป็นไซไฟให้มันเกิดเอกลักษณ์ขึ้นมา แต่เอาเข้าจริง ผมคิดว่าทุกอย่างมันจืดไปหมดเลยครับ จะเป็นจีนโบราณก็ไม่สุด จะไซไฟก็ไม่เต็มที่ มันเลยดูเหมือนเก้ ๆ กัง ๆ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี
แล้วพอการเล่าเรื่องราวในสไตล์ที่เน้นให้คนเล่นไปตระเวนเก็บของหาลอร์มาอ่านเองแบบนี้ โดยที่พวกเนื้อหาสำคัญ ๆ ที่ควรเล่าก็ดันไม่ยอมเล่าตรง ๆ มันเลยยิ่งทำให้รู้สึกขี้เกียจจะไปวิ่งตามหาตามอ่านขึ้นมาครับ เพราะผมคิดว่าจะอย่างไรก็ตามเนื้อหาส่วนที่เป็นหัวใจหลักสำคัญเกมน่ะควรเล่ามาให้ชัดเจน เล่ามาตรง ๆ ไปเลย ส่วนพวกลอร์ประจำของที่เราเก็บได้นั้นควรทำหน้าที่ในการ “เสริม” เรื่องราวอะไรก็ว่าไป ไม่ใช่ไปให้มันทำหน้าที่เล่าเรื่องราวหลัก ๆ ที่คนเล่นมีโอกาสจะพลาดเก็บไปได้
นี่ยังไม่นับว่า หน้าเกมเอย ตัวละครที่เราเล่นเอยมันบ่งชี้ในตัวว่ามีรากฐานจากไซอิ๋ว แต่เอาเข้าจริงตั้งแต่ต้นจนจบ ผมก็พบว่าเกมไม่มีความจำเป็นต้องไปอิงอะไรกับไซอิ๋วเลยครับ เพราะหยิบองค์ประกอบมาใช้อย่างเบาบางราวกับคุณเข้าร้านชาบูแล้วเจอหมูสไลด์ที่แล่บางเป็นกระดาษนั่นล่ะครับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบอสใหญ่ของเกมเลยที่แบบ…เอาจริงเหรอวะ? จากบรรดาตัวละครในไซอิ๋วมากมาย ตัวที่ดูแล้วน่าจะซัดกับหงอคงได้เหมาะมือก็มีอยู่ แต่…ทีมงานดันเลือกตัวละครที่ดูไม่น่าจะใช่ที่สุดมาใช้เสียแบบนั้น ที่สำคัญคือเกมจบแบบ จบละ ชนิดที่ไม่มีเคลียร์ปม ไม่มีการไขข้อกังขา ไม่อะไรเลย
เกมเพลย์
นี่เป็นหัวข้อที่ผมจะใช้เวลาลงรายละเอียดเยอะเป็นพิเศษ และคิดว่าอาจจะต้องซอยย่อยแบ่งเป็นหัวข้อต่าง ๆ ด้วยครับ เริ่มกันที่ระบบต่อสู้ก่อนเลย
ระบบต่อสู้
สิ่งที่ผมจะขอพูดก่อนเกี่ยวกับระบบต่อสู้ก็คือ “มันห่วย” ครับ แต่เอาล่ะ แค่บอกว่าห่วยเฉย ๆ มันก็ไม่ดีหรอกยังไงก็ต้องมีคำอธิบายเพื่อความชัดเจนอยู่ ระบบต่อสู้ของเกมนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าทีมงานตั้งใจออกแบบมาให้มันเป็นเกม “โซลส์” ครับ ในแง่ที่ว่าทุกแอ็กชันของเราจะเสียเกจกำลังกาย ไม่ว่าจะหลบ จะตี จะวิ่ง ต่างก็จะมีการใช้ค่ากำลังกายทั้งหมด ดังนั้นเราจะไม่สามารถกดฟาดต่อเนื่องได้มากนัก ต้องมีรอจังหวะให้กำลังกายฟื้นก่อน
จุดที่ผมไม่เข้าใจว่าทีมงานคิดอะไรในตอนทำระบบต่อสู้ก็คือ เกมนี้ดีไซน์มาแบบที่แท็กติกในการต่อสู้แทบจะเป็นศูนย์ เพราะตัวคุณถูกจำกัดด้วยแอ็กชันที่สามารถทำได้ และแอ็กชันแต่ละอย่างก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรมากนัก ในช่วงแรก ๆ ผมกำลังหาจังหวะในการเล่นของตัวเองอยู่ พยายามทำความเข้าใจระบบ แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ผมก็ได้รู้ว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการล็อกเป้าศัตรู เดินล่อให้มันตีวืดแล้วเราก็ตีสวนด้วยการโจมตีหนักไปทั้งเกม
ถามว่าเพราะอะไร? ก็เพราะว่าการโจมตีแทบทุกอย่างทั้งของเราและของศัตรูนี่ มันฟาดกันแล้วไม่มีอิมแพกต์อะไรเลยครับ แม้จะตีโดนก็ไม่รู้สึกว่าโดนเพราะตัวละครไม่มีการเอี้ยวตัวตามแรงปะทะ ไม่มีการชะงัก โดนฟาดกันก็ยืนเฉยแล้วฟาดกลับอะไรแบบนั้น พอพลังชีวิตหมดก็ตายกันไป อย่างที่บอกไปว่าผมพยายามมากที่จะหาวิธีการเล่น แต่ก็ไม่เจอ เพราะทั้งเกมนี้มีการเคลื่อนไหวแค่ระดับเบสิกเลยคือตั้งการ์ด แดชหลบ ตีเบา ตีหนัก และไม่มีการเคลื่อนไหวระดับสูงมากกว่านั้น เพราะทั้งเกมนี้ไม่มีระบบสกิล ไม่มีเลเวล ไม่มีอะไรจะมาเพิ่มเติมให้วิธีการเล่นของคุณหลากหลายขึ้น คุณเคาเตอร์ไม่ได้ งัดต่อคอมโบไม่ได้ ชาร์จพลังโจมตีไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย
แม้แต่ระบบเวทธาตุของเกมที่มีให้เลือกใช้สี่แบบนั้น ก็แทบหาประโยชน์อะไรไม่ได้ในการต่อสู้ เพราะอรรถประโยชน์ของมันเหมือนมีไว้เพื่อแก้ปริศนาผ่านฉากแค่นั้นจริง ๆ (โอเค ธาตุไฟอาจยังพอใช้โจมตีได้ แต่ธาตุอื่น ๆ นี่…) ยังไม่นับว่าธาตุสุดท้ายมาได้เอาตอนก่อนสู้บอสใหญ่ของเกมแป๊บเดียวด้วยนะ ดังนั้นพอคุณได้มาก็เพื่อเอาไปใช้เป็นกิมมิกสู้กับบอสใหญ่นั่นแหละ ไม่ได้มีจุดอื่นให้ใช้แล้ว เหมือนทีมงานหาที่ลงให้กับธาตุนี้ไม่ได้และเวลาพัฒนาก็ไม่พอ เลยยัด ๆ มาก่อนเจอบอสใหญ่ให้จบ ๆ ไป
แล้วก็อย่างที่ผมบอกไปว่าเกมนี้พยายามจะเป็นโซลส์ ผลที่ได้คือหงอคงในเกมนี้ เป็นหงอคงที่ตัวนิ่มเป็นเต้าหู้ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยครับ ไม่ต้องหวังว่าจะได้เห็นฉีเทียนต้าเซิ่นผู้มีฤทธิ์เดชสะท้านสามภพ เพราะในเกมนี้เหมือนคุณเป็นแค่ลิงแต่งคอสเพลย์เท่านั้นเอง มันก็เลยทำให้การเจอศัตรูแต่ละรอบนี่น่าเบื่อ น่ารำคาญกับการต้องมาเดินเข้าเดินออกล่อให้มันตีแล้วเราฟาดสวน แต่ถ้าเราโดนขึ้นมาก็อาจจุกไปได้เลย แล้วด้วยระบบต่อสู้ที่แย่แบบนี้ ช่วงหลังของเกมนี่ทีมสร้างก็ดันชอบใส่ช่วงที่เราต้องสู้ต่อเนื่องกับศัตรูมาบ่อยเหลือเกิน
ถามว่าเราฟื้นพลังได้ไหม? ได้ครับโดยการกดใช้เวทนี่ล่ะ แต่จังหวะฟื้นพลังมันก็แอบยืดยาดจนเปิดช่องให้โดนหวดได้ง่าย ๆ ไปอีก และด้วยการเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ของตัวเรานี่ การเจอศัตรูประเภทยิงไกลนี่แทบจะเป็นนรกเลย เพราะถ้าคุณทิ้งระยะจากมันนิดเดียวมันก็จะสแปมเวทใส่คุณรัว ๆ แบบติดตามตัวไม่มีจังหวะให้ตอบโต้ ทางแก้ก็คือต้องเข้าประชิดให้มันเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีแค่นั้นครับ
แพลตฟอร์มิง
เกมนี้มีจังหวะให้เราต้องโดดข้ามเหวไปมาบ่อยมาก (แบบมากกกกก) ซึ่งก็ตามสไตล์เกมแพลตฟอร์มิงเลยที่ว่าถ้าคุณตกเหวก็คือตายแน่ ๆ เกมนี้ก็เอาองค์ประกอบแบบนั้นมาใช้ครับ ปัญหาคือระบบฟิสิกส์การกระโดดของเกมนี้มันไม่โอเคครับ กระโดดแล้วตัวไหล ๆ ลื่น ๆ กะระยะกะเส้นทางไม่ค่อยได้ (เอาจริง ๆ ผมว่าเกมแพลตฟอร์มิงสมัย PS1 เหมือน Crash Bandicoot ยังทำฟิสิกส์กระโดดได้ดีกว่าอีก) มันก็เลยจะเกิดโมเมนต์ที่ต้องโดดแล้วโดดอีกบ่อย ๆ
ที่สำคัญคือ เหมือนทีมงานตัดสินใจกับระบบแพลตฟอร์มิงกันไม่ได้ครับว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี เพราะบางจุดตกไปแล้วก็ตาย แต่บางจุดตกไปแล้วตัวเราก็โดนวาร์ปกลับมายืนด้านบนใหม่ แล้วทั้งเกมจะเจอจุดที่มันครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ไปตลอดจนเดาไม่ออกว่าเส้นแบ่งมันคือตรงไหนอย่างไร
จุดหนึ่งที่มันน่ารำคาญสุด ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะใส่ลงมาให้เกิดประโยชน์อะไรก็คือพวกหนองบึงในเกมครับ ตลอดทั้งเกมมันจะมีพื้นที่ที่ลักษณะเหมือนเป็นน้ำท่วมขัง ซึ่งมีระดับน้ำประมาณข้อเท้า พอเราตกลงไปปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะวิ่งไม่ออก และหงอคงจะทำท่าเหมือนยกขาไม่ค่อยจะขึ้น กระโดดก็ไม่ได้ ซึ่งคุณจะออกจากสภาพนี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณเดินไปจนเจอสโลปที่พ้นน้ำ แต่! ลองนึกสภาพว่าพอพ้นจากช่วงแรกไป เกมก็ใส่หนองบึงที่เป็นพิษลงมาดูสิครับ พอลงไปปุ๊บ กระโดดออกมาไม่ได้ พลังชีวิตค่อย ๆ ลด เดินไปที่สโลปใกล้สุดก็ไม่ทัน มันเลยเป็นความกระอักกระอ่วนน่ารำคาญไปเลย
พัสเซิล
ในแง่ของพัสเซิลนี่ก็อยู่ในระดับ “พอได้” ครับ คือเกมจะเน้นไปที่การเลื่อนแท่นหินมาทับสวิตช์เพื่อเปิดทางไปต่อ ซึ่งส่วนมากก็จะไม่ได้ง่ายชนิดลากมาทับทีเดียวจบ แต่มันจะต้องอาศัยซีเควนส์ในการวาง อาศัยลำดับก่อนหลังอยู่บ้าง ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่ามันก็โอเคในระดับหนึ่ง
หากจะมีอะไรที่ไม่โอเคเลยก็คือพวกช่วงที่ต้องแก้ปริศนาพวกนี้ มันจะพ่วงมากับเกมเพลย์สไตล์ลอบเร้นครับ นั่นคือตลอดทั้งเกมคุณจะได้เจอกับโดรนที่คอยสอดส่องสายตาหาตัวคุณเสมอ ถ้ามันเจอตัวคุณก็จะมีระยะเวลาครู่หนึ่งให้คุณวิ่งไปหากำบัง หรือออกจากระยะสายตาของมัน แต่ถ้าไม่ทันมันก็จะยิงโจมตีเข้าใส่เรา โดนสองทีก็คือเตรียมเล่นช่วงนั้นใหม่ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะยัดอะไรพวกนี้ลงมาทำไมเหมือนกัน
แล้วทีนี้ ผมอยากให้คุณลองนึกภาพตามเวลาเล่นไปแล้วเจอจุดที่เราต้องกระโดดแพลตฟอร์มิงนะครับ โดยที่มีโดรนพวกนี้คอยสอดส่องสายตาอยู่ และถ้าโดดพลาดก็คือบึงพิษด้านล่าง มันเลยเป็นส่วนผสมบ้า ๆ บอ ๆ ที่ไม่ได้สร้างความท้าทายหรอกครับ แต่สร้างได้แค่ความหงุดหงิดให้กับคนเล่นแค่นั้นเอง
ใส่มาทำไม?
องค์ประกอบหนึ่งเลยของเกมที่มีก็คือ QTE ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคย ซึ่ง QTE ที่ว่ามันก็คือการที่เราต้องกดปุ่มบนหน้าจอให้ทันในเวลาที่กำหนด แล้วตัวละครของเราก็จะหลบการโจมตี หรือไม่ก็ออกแอ็กชันอะไรบางอย่างให้เห็นกัน ถ้ากดพลาดก็อาจจะเสียพลัง หรือไม่ก็เกมโอเวอร์ ถามว่า The Crown of Wu นี่มี QTE ไหม? มีครับ และทั้งเกมมีแค่จุดเดียวคือกระโดดหลบกับดักบนพื้น ที่พอพ้นฉากนั้นไปคุณก็จะไม่เจอกับดักอะไรแบบนี้อีกเลย ที่สำคัญคือจังหวะที่นำเสนอมันก็ไม่ได้ฉุกเฉินขนาดต้องมาสโลว์ให้คนเล่นรอกด QTE ครับ มันช้าขนาดที่ว่าถ้าให้เราวิ่งผ่านไปเลยแบบไม่บังคับหยุดยังไงก็ไม่มีทางโดนแน่ ๆ ล่ะ
กราฟิก
คุณภาพกราฟิกนี่อยู่ในระดับพอผ่านครับ ที่จริงหัวข้อนี้ผมไม่ค่อยอยากจะตำหนิติติงอะไรนัก เพราะก็พอเข้าใจศักยภาพของทีมสร้างเกมอินดี้อยู่ คุณภาพของโมเดลและงานกราฟิกในเกมนี่ผมคิดว่าอยู่ในช่วงเจน PS2 ปลาย ๆ หรือ PS3 ต้น ๆ อะไรแบบนั้นก็น่าจะพอเทียบเคียงได้อยู่ พวกรายละเอียดพื้นผิววัตถุนี่จะเกลี้ยง ๆ ไม่ค่อยมีดีเทล แล้วที่สำคัญคือทีมงานเก็บงานไม่เนี้ยบครับ มีหลายจุดเลยที่เหมือนลืมใส่ collision เข้ามา เลยทำให้ตัวเราจมผิววัตถุบ่อยครั้ง และบางทีจุดที่ไม่ควรจะไปได้ก็ดันไปได้ (แบบจม ๆ)
งานเสียง
เอาเข้าจริง ผมจำเพลงประกอบเกมนี้ไม่ค่อยได้ด้วยครับ ตั้งแต่เล่นมารู้สึกว่ามันไม่มีอะไรติดหูเป็นชิ้นเป็นอัน เสียงเอฟเฟกต์ตอนสู้ก็ค่อนข้างนิ่ม ๆ ไม่รู้สึกถึงพลังอะไร ยิ่งเสียงพากย์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มีก็เหมือนไม่มี เพราะตัวละครในเกมก็เหมือนจะไม่ได้พูดแบบเป็นภาษาจริง ๆ กันแต่ออกแนวเป็นเหมือนพูดเสียงอะไรมั่ว ๆ ให้เป็นภาษาสมมติแค่นั้นเอง
ภาษาไทย
เกมนี้มีเซอร์ไพรส์อย่างหนึ่งก็คือได้รับการแปลภาษาไทยทั้งเกมด้วยครับ แต่ถึงกระนั้นผมคิดว่าคุณภาพการแปลก็ยังไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น หลายจุดที่อ่านแล้วไม่เข้าใจบริบท จนสุดท้ายผมก็ปรับไปเล่นเป็นภาษาอังกฤษแทน สรรพนามที่ใช้บางจุดก็เปลี่ยนไปมา เดี๋ยวเป็นคุณ เดี๋ยวเป็นเจ้า ในย่อหน้าเดียวกันอะไรแบบนั้น
สรุป
The Crown of Wu เป็นผลงานที่เห็นได้ชัดเจนว่าทีมงานนั้นมีไอเดียบางอย่างที่อยากจะเล่นใหญ่มาก แต่น่าเสียดายที่ฝีมือไม่ถึงและทุนก็อาจจะไม่ถึง และดูน่าจะมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจแนวทางของเกมพอควร มันเลยทำให้ตัวเกมไปไม่สุดเลยแม้แต่ทางเดียวครับ จะแอ็กชันก็ไม่ดี จะแพลตฟอร์มิงก็ไม่ได้ ถ้าจะให้ผมวิจารณ์ตรง ๆ ถึงข้อดีของเกมนี้ก็คือมันทำให้เรารู้ว่าเกมที่ดีเป็นยังไงนั่นล่ะครับ