Games Reviews

Ghostwire: Tokyo – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Ghostwire: Tokyo – รีวิว [REVIEW]

Ghostwire: Tokyo นี่ถือเป็นหนึ่งในเกมที่ผมค่อนข้างเฝ้ารอตั้งแต่คราวแรกที่เปิดตัวเลยก็ว่าได้ ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่เน้นฉากหลังเป็นประเทศญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน แต่ผสมผสานด้วยเรื่องราวของบรรดาภูตผีที่อ้างอิงจากเรื่องเล่าและตำนานโบราณของญี่ปุ่นโบราณ มันเลยดูเป็นส่วนผสมที่สร้างความสนใจให้ผมได้ทันที และในตอนนี้ที่เกมวางจำหน่ายแล้ว ผมก็ได้ลองสัมผัสตัวเกมเรียบร้อย จึงจะขอบอกเล่าความรู้สึกที่มีให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

*รีวิวนี้เล่นบน PS5 โดยเน้นโหมด performance เป็นหลัก


เนื้อเรื่อง

Ghostwire: Tokyo ดำเนินเรื่องอยู่ในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน หรือถ้าเจาะจงกว่านั้นก็คือเขตชิบูย่าในโตเกียว เรื่องราวเริ่มต้น ณ ใจกลางของ Shibuya Scramble Crossing ที่เป็นจุดตัดของถนนใหญ่และมีผู้คนเดินพลุกพล่านกันตลอดเวลา แต่ว่าอิซึกิ อาคิโตะผู้เป็นตัวเอกของเรื่องกลับขี่มอเตอร์ไซค์มาประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตลง พร้อมกันนั้นได้มีวิญญาณดวงหนึ่งที่กำลังลนลานพยายามหาร่างสิง ประจวบเหมาะกับร่างของอาคิโตะที่นอนแน่นิ่งตรงนั้นพอดีจึงเหมาะที่จะใช้เป็นที่สิงได้อย่างง่ายดาย

ทว่าเมื่อวิญญาณดวงนั้นเข้าสิงแล้วกลับพบว่าอาคิโตะเองกลับฟื้นขึ้นมาโดยยังมีสติครบถ้วน กลายเป็นว่าในร่างของอาคิโตะกลับมีวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่อาศัยอยู่ และก่อนที่จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร กลับเกิดเหตุการณ์ที่หมอกหนาเข้าปกคลุมชิบูย่าทั้งหมด จนทำให้ผู้คนสลายหายไปเหลือแต่เพียงเสื้อผ้าราวกับโดนผีลักซ่อน มีเพียงอาคิโตะเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ แต่ทุกอย่างก็เลวร้ายลงไปอีกเมื่อชิบูย่ากลับโดนรุกรานด้วยเหล่าผีร้ายที่เรียกว่า “Visitor” (ผู้มาเยือน) ที่เพ่นพ่านไปทั่วเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้อาคิโตะและวิญญาณผู้เรียกตนเองว่า KK ที่สิงร่างเขาอยู่จึงต้องร่วมมือกันอย่างเสียไม่ได้เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ถ้าจะพูดถึงในแง่ของเซ็ตติ้งแล้วนั้น ตัวเกมเปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจครับ มันดูลึกลับน่าค้นหาว่าทำไมและเพราะอะไร ถึงได้มีใครบางคน (คนสวมหน้ากากฮันเนีย) ที่พยายาม “ลักพาตัว” คนทั้งชิบูย่าไปเป็นหลักแสน (หรือ 240,300 คนตามตัวเลขในเกม) และความสัมพันธ์ระหว่าง KK รวมถึงพรรคพวกและหน้ากากฮันเนียที่ว่าคืออะไร เพราะตั้งแต่ต้นเรื่องเราจะได้เห็นทันทีว่าสองกลุ่มนี้เคยมีความบาดหมางกันมาก่อน แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าถึงที่สุดแล้วจนจบเกม เราก็แทบไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นเท่าไหร่เกี่ยวกับภูมิหลังของแต่ละคน เพราะมีสกรีนไทม์กันค่อนข้างน้อยมาก แถมโผล่กันมาแต่ละรอบก็คุยกันกับ KK ในแบบคนที่รู้จักกันมานานแล้ว ส่วนอาคิโตะก็เหมือนเป็นตัวแทนผู้เล่นจริง ๆ คือไม่รู้ว่าแต่ละคนเป็นมายังไง เจอกันยังไง มีความสัมพันธ์กันมายังไง

ตัวละครบางตัวที่ผมคิดว่าก็น่าสนใจแต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีแม้แต่โมเดลในเกมให้เห็นเลยมีแต่คุยกันผ่านเสียง (ขนาดว่าตัวร้ายหลักนี่จนจบเกมก็ไม่ได้เห็นหน้าตาจริง ๆ ว่าเป็นยังไง) ก็จริงอยู่ว่าเนื้อหาบางส่วนก็เล่าผ่านพวกเอกสารในเกมแทน แต่หลายอย่างถ้าทำเป็นฉากคัตซีนให้ดูกันชัด ๆ เลยก็น่าจะดีกว่านี้ครับ แม้กระทั่งหลังจากเล่นจบผมก็ไปโหลดตัวเนื้อหาฟรีที่เป็นเกมสไตล์ไลท์โนเวลอย่าง Ghostwire: Tokyo, The Corrupted Case File มา เพราะกะว่าน่าจะมีการเล่าที่มาที่ไปอะไรเพิ่มเติมบ้าง แต่กลายเป็นว่าสุดท้ายก็แทบไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรนัก

ด้วยเหตุนี้แหละ เรื่องราวในเกมเลยค่อนข้างมีลักษณะเหมือนเป็นการตกกระไดพลอยโจนแบบงง ๆ ของอาคิโตะเกือบทั้งเกม เรียกได้ว่าถ้าเกิดไม่มีปมที่อาคิโตะจะต้องตามไปช่วยมาริผู้เป็นน้องสาวที่โดนหน้ากากฮันเนียจับตัวไปนี่ ก็แทบไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องมาข้องเกี่ยวเลยครับ เพราะความขัดแย้งหลัก ๆ มันเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของ KK กับหน้ากากฮันเนียกันเพียว ๆ เลย แต่ถึงกระนั้นบทสนทนาและปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาคิโตะและ KK ก็สนุกสนานดีใช้ได้ในสไตล์ของหนังสืบสวนสอบสวนที่จะต้องมีคู่หูซึ่งคอยจิกกัดกันเองเนือง ๆ คนนึงจะต้องเป็นคนหนุ่ม ส่วนอีกคนที่จะมีอายุและเจนสนามกว่าซึ่งมักจะปากร้ายแต่ใจดี แม้จะฟังดูแอบคลีเช่ไปหน่อยแต่มันก็เป็นสูตรที่ใช้ได้ในเกมนี้

จุดนึงที่ผมแอบเสียดายของเกมก็คือ หลังจากจบแล้วตัวเกมไม่มีกระทั่งบทส่งท้ายหรืออะไรที่จะทำให้เราได้รู้ว่าแล้วหลังจากนี้ แต่ละคนจะไปไหนหรือทำอะไรต่อ คือจบจริง ๆ จนรู้สึกว่ามันแอบด้วนไปหน่อยครับ


เกมเพลย์

ในส่วนของเกมเพลย์นี่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของเกมเลย ถ้าจะเอาคำอธิบายสั้น ๆ นั้น Ghostwire: Tokyo ก็เป็นเกมแอ็คชัน FPS ที่มีฉากโอเพนเวิลด์ให้ได้สำรวจ พร้อมด้วยกิจกรรมเสริมต่าง ๆ ในระดับหนึ่ง และมีสกิลมีความสามารถให้ได้ปลดล็อค พร้อมด้วยการชำระล้างประตูโทริอิเพื่อทำการสลายหมอกและเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ไปวิ่งเล่นได้ เรียกได้ว่าเป็นสูตรที่ค่อนข้างเห็นได้บ่อยครั้งของเกมแนวโอเพนเวิลด์นั่นล่ะครับ (มองในมุมหนึ่งจะบอกว่าคล้าย Far Cry ในแบบเหนือธรรมชาติก็คงจะพอได้) ถึงกระนั้น ด้วยความที่ตัวเกมเลือกที่จะใช้วิธีต่อสู้ในแบบการใช้พลังวิญญาณเข้าห้ำหั่นกัน จึงทำให้รสชาติมันออกมาแปลกและแตกต่างจากเกม FPS อื่น ๆ ไม่น้อยเหมือนกัน

อาคิโตะจะมีวิธีการโจมตีหลัก ๆ ที่เรียกว่า Ethereal Weaving ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสามธาตุด้วยกัน นั่นคือลม น้ำ และไฟ แน่นอนว่ารูปแบบการโจมตีและวัตถุประสงค์ใช้งานก็ต่างกัน และการโจมตีปกติหรือการชาร์จโจมตีก็จะให้ผลที่ต่างกันอีก สำหรับธาตุลมของเกมนี้เปรียบเสมือนเป็นปืนกึ่งอัตโนมัติของเกม FPS อื่น ๆ ครับ เพราะสามารถรัวโจมตีได้เร็วแต่พลังจะต่ำ หากชาร์จโจมตีก็จะเป็นการยิงกระสุนติดตามตัว พอเป็นธาตุน้ำก็จะโจมตีเป็นวงกว้างที่ระยะสั้นคล้ายการใช้ปืนลูกซอง แต่หากชาร์จอาคิโตะก็จะกวาดโจมตีด้วยคมมีดน้ำในระยะที่ไกลกว่าเดิมและกว้างกว่าเดิม ส่วนธาตุไฟก็จะทำหน้าที่คล้ายปืนสไนเปอร์ไรเฟิลที่ยิงช้าแต่ยิงแรงและสามารถเจาะทะลุศัตรูได้ (ถ้าอัปเกรด) ส่วนเมื่อใดที่ชาร์จก็จะแปรสภาพกลายเป็นปืนยิงลูกระเบิดทันที ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแล้วแต่อัปเกรดได้หมด แถมยังมีอุปกรณ์เสริมเป็นสารพัดยันต์ที่จะช่วยในการเล่นได้มากมาย บ้างก็ทำให้ศัตรูชะงักจนเราตีได้ฟรี บ้างก็หลอกล่อให้ศัตรูหันไปทางอื่น ฯลฯ ส่วนใครที่ไม่ค่อยถนัดบู๊เกมก็มีระบบลอบเร้นมาให้อยู่เหมือนกัน ซึ่งในบางครั้งการเจอกับพวกภูตผีตัวฉกาจนี่หากเราลอบโจมตีมันได้ก็จะทอนกำลังของมันได้เยอะเลยทีเดียว

ซึ่งเจ้า Ethereal Weaving ที่ว่านี่ เป็นอะไรที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะมันคือการออกแบบโดยอ้างอิงศาสตร์การประสานมืออย่างคูจิคิริ (Kuji-kiri) ที่พวกนักพรตชูเก็นโดหรือพุทธสายชินกอนฝึกฝนกันนั่นล่ะครับ ถ้านึกภาพไม่ออกก็นึกถึง “การประสานอิน” ที่คุณอาจเคยเห็นจากมังงะ/อนิเมอย่าง “นารูโตะ” แต่สำหรับผมแล้ว เวลาอาคิโตะสะบัดมือโจมตีหรือทำมือทำไม้เพื่อสลายคำสาปหรือชำระล้างวิญญาณอาฆาตนี่ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกม “คุจากุ” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อเทพฤทธิ์พิชิตมารในยุคปัจจุบันก็ไม่ปานครับ สารภาพตรงนี้เลยว่าตอนเล่นก็มีทำไม้ทำมือเลียนแบบอยู่หน้าจอโทรทัศน์หลายครั้งอยู่…

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่าตัวเกมมันจะช้าเพราะไม่ใช่การสาดกระสุนด้วยไรเฟิลอัตโนมัติแบบที่คุ้นเคย แต่เอาเข้าจริงเกมเพลย์ค่อนข้างเร็วเลยครับ ที่สำคัญคือเกมนี้ให้รางวัลกับการบุกหนักของผู้เล่นพอสมควร เพราะเมื่อใดที่คุณโจมตีศัตรูจนมันเผยให้เห็นแกนวิญญาณข้างในตัว คุณจะสามารถกระชากแกนวิญญาณของพวกมันออกมาได้เป็นการกำจัดมันในทันที (เหมือนเป็นการ take down) และการทำเช่นนี้ก็จะช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของคุณได้อีกด้วย ถ้าหากคุณเล่นแล้วคล่องมือกับระบบเกมเมื่อไหร่ การเจอศัตรูจำนวนเยอะ ๆ นี่จะบู๊สนุกมากเลยล่ะครับ

แน่นอนว่าในเมื่อเกมนี้เป็นโอเพนเวิลด์ก็จะมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายทั่วเมืองรอให้คุณไปพบ หนึ่งในนั้นก็คือบรรดาวิญญาณของผู้คนในชิบูย่าที่กระจัดกระจายทั่วไป ซึ่งคุณจะต้องใช้กระดาษพยนต์ katashiro ในการดูดวิญญาณเหล่านั้นเพื่อส่งออกไปนอกอาณาเขตที่ปิดกั้นชิบูย่าไว้แล้วรอการฟื้นฟูให้กลับมาเป็นมนุษย์ หรือบางทีคุณอาจได้เจอกับวิญญาณติดที่ซึ่งยังมีห่วงบางอย่างอยู่และต้องการให้คุณช่วยแก้ไข ซึ่งหลายครั้งเนื้อหาเควสต์ก็มักคล้ายคลึงกับพวกเรื่องเล่าสยองขวัญหรือไม่ก็ปัญหาสังคมในญี่ปุ่นที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยอ่านหรือเคยได้ยินกันมา

บางครั้งคุณก็อาจได้เจอกับ relic ที่กระจัดกระจายทั่วชิบูย่า ซึ่งเป็นวัตถุทรงคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม บางชิ้นก็เป็นเครื่องปั้นดินเผาโบราณจากยุคยาโยอิ หรือยุคโจมง บางชิ้นก็เป็นดาบอามาโนะมุราคุโมะเล่มจำลอง (ดาบที่ปรากฏออกมาจากหางของยามาตะโนะโอโรจิหลังโดนซูซาโนโอะสังหาร) บ้างก็เป็นข้าวของเครื่องใช้ในความทรงจำของผู้คนจากยุค 1960s จนถึง 1980s หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสื่อบันเทิงสยองขวัญจากญี่ปุ่นอย่างวิดีโอต้องคำสาปเป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบและหลงใหลวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือเคยเสพสื่อบันเทิงจากญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานคุณจะพบเห็นของที่คุ้นตาตลอดทั้งเกม ทำให้การไล่ตามเก็บ collectibles เหล่านี้ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อครับ

อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่า Ghostwire: Tokyo ผสมผสานยุคปัจจุบันเข้ากับเรื่องราวของภูตผีจากญี่ปุ่น ซึ่งบรรดาภูตผีที่ว่าก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เหล่าโยไคจากตำนานพื้นบ้าน เช่น เนโกะมาตะเอย กัปปะเอย นูริคาเบะเอย ขบวนร้อยอสูรราตรีเอย แต่ยังเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เป็น urban legend หรือเรื่องเล่าตำนานเมืองที่น่าจะคุ้นเคยกันดี ที่เห็นชัดเจนก็คือศัตรูอย่าง Kuchisake-Onna หรือสาวปากฉีกนี่ล่ะครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าตัวเกมออกแบบมาดี คือพวกบรรดากิจกรรมเสริมต่าง ๆ ที่มีให้ทำในเกมแต่ละอย่างนั้นมีคุณค่าในตัวมันเองและยังให้รางวัลแก่ผู้เล่นที่ดีในการที่จะออกตามหาหรือไล่ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ครบ บ้างก็ได้มาเป็นเงินและ EXP บ้างก็ได้มาเป็นสายประคำข้อมือที่จะช่วยเสริมพลังในด้านต่าง ๆ บ้างก็เป็นบันทึกของ KK ที่จะช่วยให้ได้ค่า Skill Point มาใช้อัปความสามารถเพิ่มเติม คือไม่มีอะไรที่รู้สึกว่ามันไร้ความหมายหรือให้ของไม่มีประโยชน์มาครับ

ถึงกระนั้น ถ้าคนที่ชื่นชอบความหลากหลายของสภาพแวดล้อมในเกมล่ะก็อาจจะผิดหวังหน่อย เพราะว่าตลอดทั้งเกมนี้จะมีทิวทัศน์ในเมืองเป็นส่วนมาก (ก็ชิบูย่าอะ) คุณจะไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากเดิมบ่อยนัก อาจมีบ้างที่คุณจะได้เห็นสภาพแวดล้อมที่แปลกตา แต่ก็จำกัดแค่ช่วงสั้น ๆ ที่เกมกำหนดไว้ ซึ่งโดยมากจะเป็นภารกิจหลักของเกมครับ ซึ่งไอ้จุดที่แปลกตานี่ในบางช่วงก็ทำออกมาดีเลยจริง ๆ นะ ติดที่มันมีน้อยไปหน่อย

อีกจุดหนึ่งที่คงไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความเหงาและความร้างของเกมครับ คือด้วยเซ็ตติ้งของเกมที่คนทั้งชิบูย่ากว่าสองแสนสี่หมื่นคนหายวับไปในคืนเดียว ทั้งเขตเลยกลายเป็นดินแดนร้างไร้ผู้คนไปในทันที ผลคือทั้งเกมคุณจะไม่ได้เจอ NPC ที่เป็นคนอื่น ๆ เลย ถ้าจะมีก็แค่ NPC สำคัญไม่กี่คนที่โผล่มาคุยบ้างประปราย (แต่ก็ยังมาในรูปแบบร่างวิญญาณอยู่ดี) ส่วนพวก NPC แจกเควสต์อื่น ๆ นี่แทบไม่ต้องพูดถึงเลยครับ มาแค่ในแบบวิญญาณเรืองแสงสีฟ้า ๆ อย่างเดียวแบบที่ไม่ต้องลงดีเทลอะไร ก็จริงอยู่ที่ในเกมนี้เรามีพลังพูดคุยกับหมาแมวหรือแม้แต่ทานุกิที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยใช่ยังไงชอบกล


กราฟิก

ในส่วนของกราฟิกเกมนี้ อยู่ในระดับกลาง ๆ ครับ คือไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นดีเลิศ ถ้าจะมีอะไรที่น่าชื่นชมมากก็คืออาร์ตดีไซน์ในเกม ที่ทำออกมาแล้วรู้สึกได้จริง ๆ ว่านี่คือชิบูย่าซึ่งเป็นแหล่งการค้าและธุรกิจขนาดใหญ่ ทุกที่เต็มไปด้วยป้ายไฟนีออนสีสันสดใส และบรรดาเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายไปทั่วตามท้องถนนและอาคารบ้านเรือน บ่งบอกให้รู้ว่ามันเคยเต็มไปด้วยผู้คนจริง ๆ ถ้าพูดถึงในแง่ของการเซ็ตโทนของเกมนี่ถือว่าทำได้ดีเลย

อีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบก็คือการออกแบบพวกศัตรูหรือไม่ก็บรรดาโยไคในเกมครับ พวกโยไคนี่ออกแบบมาชนิดที่เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็นตัวอะไร เพราะออกแบบมาใกล้เคียงกับพวกภาพวาดเก่า ๆ มากแต่เสริมแต่งองค์ประกอบบางอย่างเข้าไปให้เป็นเอกลักษณ์ของเกม ส่วนศัตรูชนิด Visitor นั้น ก็มีรูปแบบการออกแบบที่อ้างอิงจากสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบัน และบ้างก็ออกแบบโดยอ้างอิงจากพวกตำนานเมืองที่เคยได้ยินกันมา อย่างเช่นสาวปากฉีกที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ และบางตัวก็ใส่ชุดที่ดูแล้วค่อนข้างมั่นใจว่ามาจากเรื่องเล่าอย่างฮานาโกะซังที่เป็นผีในห้องน้ำ เป็นต้น

เอาแค่ในแง่การออกแบบสภาพแวดล้อมของเกมเพียว ๆ นี่ ถ้าใครที่ชื่นชอบและหลงใหลญี่ปุ่นก็จะมีอะไรที่ทำให้เล่นได้เพลิน ๆ ทั้งเกมแน่นอนครับ


เพลงประกอบ

ในส่วนของเพลงประกอบนี่ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การเล่นเกมนี้เพลินไม่เบา เพราะเพลงต่าง ๆ ในเกมนี่ก็มีเอกลักษณ์เช่นเดียวกับตัวเกม นั่นคือผสานความโมเดิร์นกับความโบราณเอาไว้ได้ดี ท่วงทำนองและเสียงร้องที่โหยหวนในสไตล์บทเพลงพื้นบ้าน จังหวะดนตรีที่ฟังแล้วรู้ทันทีว่านี่คือญี่ปุ่นโบราณแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยเสียงของเครื่องดนตรีสมัยใหม่ ลองฟังเพลงจากช่องทางการของ Bethesda Softworks ได้จากคลิปด้านล่างครับ


สรุป

Ghostwire: Tokyo เป็นเกมที่ผมเล่นแล้วเพลินกว่าที่คิดเอาไว้มาก ทั้งบรรยากาศ เกมเพลย์และเพลงประกอบ ถึงแม้ว่าในแง่เนื้อเรื่องผมคิดว่าน่าจะยังทำได้ดีกว่านี้ แต่คุณภาพโดยรวมเป็นเกมที่สนุกครับและผมก็หวังว่าโลกของ Ghostwire จะยังได้รับการนำมาบอกเล่าต่อไปในอนาคต

The Review

80% โมเดิร์นองเมียว ปลุกความเบียวในตัวคุณ

Ghostwire: Tokyo คือเกมแอ็คชัน FPS ที่สนุกและเพลิดเพลินแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นทั้งความทันสมัยและตำนานพื้นบ้านต่าง ๆ อาจมีจุดติดขัดในแง่เนื้อเรื่องอยู่บ้าง แต่โดยรวมถือเป็นเกมที่คุณภาพดีเกมหนึ่งเลยทีเดียว

80%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์