Games Reviews

Infinity Strash Dragon Quest The Adventure of Dai – รีวิว [REVIEW]

Infinity Strash Dragon Quest The Adventure of Dai – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Square Enix/Bandai Namco Entertainment มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

Dai no Daibouken หรือในชื่อไทยว่าไดตะลุยแดนเวทมนตร์นั้นคือชื่อของโชเน็นมังงะที่โด่งดังมากระดับหนึ่งในบ้านเราซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ช่วงปีค.ศ.1989 จนถึงปีค.ศ.1996 ในประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะมีการนำเอากลับมาทำอนิเมชุดใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้และออกฉายจำนวน 100 ตอนตั้งแต่ปีค.ศ.2020 จนถึงปีค.ศ.2022 ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งตัวเนื้อหาของเรื่องนั้นอ้างอิงมาจากแฟรนไชส์วิดีโอเกมดังอย่าง Dragon Quest เป็นหลัก และในคราวนี้ไดก็ได้มาโลดแล่นในเกมของตัวเองเสียทีครับ


เนื้อเรื่อง

สำหรับเรื่องราวของ Infinity Strash Dragon Quest: The Adventure of Dai นั้นเดินเรื่องตามเนื้อหาฉบับอนิเมชุดล่าสุดเป็นหลัก โดยจะเล่าเรื่องราวของได (Dai) เด็กหนุ่มชาวมนุษย์ที่เติบโตในเกาะเดิร์มไลน์ (Dermline) ที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์อันเป็นมิตร และมีบราส (Brass) ซึ่งเป็นมอนสเตอร์บนเกาะคอยเลี้ยงดู แล้วในวันหนึ่งที่เกาะแห่งนี้ก็ได้มีอดีตผู้กล้าอวาน (Avan) พร้อมด้วยลูกศิษย์อย่างป็อป (Popp) มาเยือน เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจึงนำพาไดให้ออกจากเกาะแล้วไปผจญภัยในโลกกว้างในที่สุด

ผมคงไม่พูดถึงว่าตัวเนื้อหานั้นดีหรือน่าติดตามแค่ไหน (เพราะเอาจริง ๆ สามารถไปหาอ่านมังงะหรือหาอนิเมมาชมได้เลย) แต่จะขอพูดถึงรูปแบบการเล่าเรื่องของเกมนี้แล้วกันครับ ในเกมนี้จะใช้วิธีการเล่าเรื่อง 2 แบบ นั่นคือใช้ภาพนิ่งที่ตัดมาจากอนิเมในแต่ละช่วงประกอบด้วยเสียงพากย์เป็นหลัก โดยคุณจะได้เห็นวิธีนี้ประมาณ 80% ของทั้งเกม กับอีกแบบหนึ่งคือคัตซีนที่ใช้โมเดลในเกมที่นาน ๆ ทีจะมีปรากฏให้เห็น และโดยมากก็ใช้เวลาต้องการนำเสนอฉากแอ็กชันที่รวดเร็วและรุนแรง ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่เบา

หากให้พูดกันตามตรง ผมคิดว่าการที่ทีมงานเลือกใช้ภาพนิ่งตัดจากอนิเมมาแบบนี้น่าจะด้วยเหตุผลของทุนพัฒนาเป็นหลักครับ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบนี่โมเดลตัวละครมีน้อยแบบมาก บรรดาตัวละครสำคัญในเรื่องหลายตัวนี่ไม่มีโมเดลในเกมด้วยซ้ำ จะปรากฏออกมาเฉพาะในภาพนิ่งอนิเม ดังนั้นพวกคัตซีนที่ใช้โมเดลก็จะได้เห็นหน้าเห็นตากันแค่ไม่กี่ตัว พอเป็นอย่างนี้มันเลยทำให้เกมดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปหน่อย จะเป็นวิชวลโนเวลไปเลยก็ไม่ใช่ จะเป็นอินเกมโมเดลทั้งเกมก็ไม่ได้อีก

นี่ยังไม่นับว่าด้วยตัวเนื้อหาของเกมนี่จบแบบค้างคาด้วยนะ เพราะในเกมทำเนื้อหาถึงแค่จัดการปราสาทหินยักษ์ (Sovereign Rock Castle) เท่านั้นแล้วก็ตัดจบเลย ทั้งที่เนื้อหาช่วงนี้ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยด้วยซ้ำ


เกมเพลย์

สำหรับในส่วนของเกมเพลย์นั้น ตัวเกมเป็นแอ็กชันที่มีระบบปรับแต่งตัวละครแบบจาง ๆ ครับ เกมนี้จะไม่มีฉากสำรวจ ไม่มีเดินคุยในเมือง ไม่มีอะไรให้เราเดินเล่นและค้นหา เราจะทำได้แค่เลือกจุดที่ต้องไปเพื่อเดินตามเนื้อเรื่องเพียว ๆ และพอถึงเวลาสู้ เราก็มีหน้าที่แค่ตีศัตรูมันให้หมดฉากเป็นอันพอโดยไม่ต้องแก้ปริศนาไม่ต้องเลือกสำรวจทาง เพราะทุกฉากจะบังคับให้เราวิ่งเป็นเส้นตรงอย่างเดียว

วิธีการต่อสู้ก็คือเราจะเซ็ตท่าได้สามท่าต่อหนึ่งตัวละคร โดยเซ็ตไว้ที่ปุ่มสามเหลี่ยม วงกลม และ R1 เมื่อเรากดใช้ท่าใดไปแล้วก็จะต้องรอคูลดาวน์ครู่หนึ่งถึงจะใช้ต่อได้ แล้วพอเกจไม้ตายเต็มก็กดใช้ด้วยปุ่ม R2 ส่วนปุ่ม L2 ก็จะมีไว้ใช้สกิลพิเศษของแต่ละตัวละคร ซึ่งเอาเข้าจริงก็มีแค่ไม่กี่แบบครับ ถ้าไดก็จะเป็นการใช้พลังดราโกนิกออรา (Draconic Aura) เพื่อเพิ่มความสามารถโดยรวม ส่วนฮยุนเคล (Hyunckel) ก็จะเป็นการสวมเกราะเพิ่มความสามารถ ส่วนป็อปก็จะเป็นการเร่งคูลดาวน์ของท่า ส่วนของมาม (Maam) ในช่วงแรกจะเป็นการเติมกระสุนเพื่อใช้เวทที่เซ็ตไว้ แล้วพอเปลี่ยนจ็อบเป็นนักสู้ก็จะเป็นการเร่งคูลดาวน์ของท่าแบบป็อป

ด้วยรูปแบบการเล่นอย่างนี้ มันเลยทำให้แต่ละตัวละครรู้สึกว่าต่างกันไม่ค่อยมากเท่าไร เพราะไม่ว่าจะเลือกเล่นใคร แต่ละคนก็จะมีการโจมตีปกติกันแค่ 3 ฮิตเท่านั้น (อาจจะมีหน่วงจังหวะในฮิตที่สามเพื่อเปลี่ยนท่าโจมตีหน่อย) การสู้มันก็เลยจะเป็นแบบตี 2 หรือ 3 ทีแล้วกดท่า จากนั้นก็ฉากหลบออกมาหาจังหวะเพื่อเข้าตีต่อ โดยที่ทั้งเกมจะไม่มีการเพิ่มคอมโบ ไม่มีระบบที่ทำให้คล่องตัวขึ้นอะไรแบบนั้นครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างขัดใจก็คือเกมมันก็สปีดไวดี แต่พวกศัตรูระดับบอสมักมาพร้อม Super Armor กันบ่อย ๆ ทำให้เราตีมันแล้วไม่ค่อยจะชะงักจนกว่าเกจเกราะของมันจะแตก ดังนั้นปัญหาที่เจอบ่อย ๆ ก็คือพอเราตีรัวอยู่แล้วเราเห็นแล้วว่าบอสมันจะโจมตี พอเราจะกดแดชหลบก็แดชไม่ได้เพราะเกมนี้ไม่มีระบบแคนเซิล ถ้าเราอยู่ในจังหวะออกท่าแล้วก็รอโดนโจมตีได้เลย นี่เป็นจุดที่ชวนหงุดหงิดได้แบบแปลก ๆ จะว่าเกมยากก็ไม่รู้สึกว่ามันยาก แต่พลาดโอเวอร์บ่อย ๆ เพราะอยากแดชหลบแต่เกมไม่ให้หลบมากกว่า

ในส่วนของการปรับแต่งตัวละครนั้น ลืมระบบพื้นฐานจากดราก้อนเควสต์ในภาคดั้งเดิมไปได้เลย เพราะเกมนี้จะไม่มีการเข้าร้านค้าและซื้ออุปกรณ์ใหม่ ๆ มาใช้ครับ เงินที่มีในเกมรวมถึงไอเท็มที่หามาได้มีประโยชน์แค่เอาไว้ใช้อัปสกิลแต่ละท่า ส่วนค่าพลังตัวละครและแพสซีฟสกิลต่าง ๆ จะเพิ่มได้จากการติดตั้ง Bond Memories และการเลเวลอัปเพียว ๆ มันเลยทำให้เกมไม่ได้มีความลึกซึ้งและไม่มีอะไรให้ลองในแง่ของการทำบิลด์ตัวละครมากนัก

นอกเหนือไปจากโหมดเนื้อเรื่องแล้ว เกมนี้พยายามนำเสนอโหมดพิเศษที่เรียกว่า Temple of Recollection ครับ โหมดนี้จะให้เราลงดันเจี้ยนรวดเดียวในสไตล์ของเกมโรกไลก์ (rogue-like) เพราะทุกครั้งที่เข้าเล่นนั้นตัวละครเราจะเริ่มต้นที่เลเวล 1 กันเสมอ ไม่ว่าคุณจะเก็บ progress ตัวละครมากแค่ไหน พอออกจากโหมดมาก็จะเริ่ม 1 ใหม่หมดตลอด แล้วถามว่าเล่นไปทำไมล่ะโหมดนี้? ประโยชน์ของมันคือการให้คุณได้เก็บและได้หา Bond Memories ใหม่ ๆ มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวละครนี่ล่ะครับ

ประเด็นคือ Bond Memories มันดรอปมาแบบสุ่มในแต่ละรอบ หากว่าคุณดวงดีและเทพเจ้าแห่ง RNG เห็นใจคุณก็อาจจะได้สิ่งที่ขาดไปหรือไม่ก็ได้สิ่งที่ต้องการซ้ำเพื่อมาอัปเลเวล แต่บางทีคุณอาจต้องวิ่งวนครั้งแล้วครั้งเล่าจนเอียนไปเลยก็ได้หากว่าคุณเป็นเกมเมอร์สายเพอร์เฟกชันนิสต์ที่ต้องการเก็บทุกอย่างให้ครบ

โดยส่วนตัวผมมองว่าหากทีมงานตัดโหมดนี้ออกแล้วไปเน้นทำเนื้อเรื่องให้จบสมบูรณ์ไปเลยอาจจะดีกว่า หรือไม่ก็ปรับให้เราลงดันเจี้ยนได้ด้วยเลเวลของตัวละครในโหมดเนื้อเรื่องก็จะทำให้น่ารำคาญน้อยลงครับ เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือมันเหมือนเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและวุ่นวายมากกว่าจะสนุก


กราฟิก

ในส่วนของกราฟิกนั้น ผมคิดว่าก็พอไปวัดไปวาได้เมื่อมองว่านี่คือเกมที่อิงจากอนิเม โมเดลตัวละครที่มีในเกมนั้นทำสีหน้าท่าทางออกมาได้บรรยากาศของอนิเมดีอยู่ ยิ่งพวกเอฟเฟกต์ใช้ท่าต่าง ๆ นี่ก็อลังการและรุนแรงใช้ได้ แม้ว่าตอนที่ใช้ท่าพร้อม ๆ กันสี่คนมันจะมองออกยากว่าอะไรเป็นอะไรก็เถอะ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษครับ เพราะในแง่ของการดีไซน์ฉากนั้นมันเรียบง่ายมาก (อาจจะมากไปด้วยซ้ำ) ทุกฉากจะเหมือนเราโดนจับหย่อนลงอารีนาให้ตีศัตรูจนหมดก็จบกัน ไม่มีความแปลกใหม่ในแง่ของการดีไซน์


เสียง

ในส่วนของเสียงพากย์นั้น ผมเล่นแบบพากย์อังกฤษก็คิดว่าแต่ละคนที่เลือกมานั้นพากย์ได้ดีนะครับ เข้ากับบุคลิกลักษณะของแต่ละตัวละครดี ส่วนเป็นคนเดียวกับที่พากย์อนิเมรึเปล่านั้นก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน พวกเสียงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ก็ดุดันดีไม่เบา พวกท่าใหญ่นี่เวลาโจมตีออกมาเสียงมันหนักแน่นมาก รู้สึกได้ถึงความรุนแรง แต่ในทางกลับกันผมจดจำดนตรีประกอบของเกมไม่ค่อยได้เท่าไรนัก ที่สำคัญคือแม้ว่าจะเป็นเกมในแฟรนไชส์ดราก้อนเควสต์ แต่ผมก็ไม่ได้ยินเพลงธีมประจำแฟรนไชส์เลย (หรือมีแต่ผมจำไม่ได้ก็ไม่แน่ใจนะ) ถือว่าแอบน่าเสียดายอยู่


สรุป

Infinity Strash Dragon Quest The Adventure of Dai เป็นเกมสปินออฟของดราก้อนเควสต์ที่ขาดเสน่ห์ของดราก้อนเควสต์ครับ เกมนี้ควรเรียกว่าเป็นเกมจากอนิเมจะถูกต้องกว่า ถ้าคุณหวังว่าเกมนี้จะมีอะไรที่คุ้นเคยจากดราก้อนเควสต์ก็คงผิดหวัง และถ้าคุณชื่นชอบไดตะลุยแดนเวทมนตร์เป็นทุนเดิม ก็อาจจะไม่เต็มอิ่มเพราะเนื้อหาของเกมทำมาไม่จบอย่างที่ควรจะเป็น เลยกลายเป็นเกมที่ออกมาไม่สุดเลยสักทางครับ

The Review

50% ไดตะลุยครึ่งแดนเวทมนตร์

50%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์